รีวิวเกม Death’s Door เมื่อตำนาน Zelda รวมร่างกับสุดโหด Dark Souls
Our score
8.5

Death's Door

จุดเด่น

  1. เกมเพลย์สนุกผสมผสานแอ็กชันเน้นฝีมือกับแก้ปริศนาได้ลงตัว
  2. เนื้อเรื่องแปลกตาและน่าติดตาม

จุดสังเกต

  1. กราฟิกดูธรรมดาไปหน่อย
  2. ไม่มีเสียงพากย์

เป็นเรื่องปรกติที่ค่ายเกมเล็ก ๆ จะนำรูปแบบของเกมดังมาสร้างเป็นแนวทางของตัวเอง โดยก่อนหน้านี้มีค่ายอินดี้หลายค่ายได้ผลิตเกมที่หยิบเอารูปแบบเกมระดับตำนานมาสร้างใหม่ และบางครั้งทำออกมาได้ดีใกล้เคียงกับต้นฉบับด้วย และล่าสุดมีการเปิดตัว Death’s Door จากทีมงานเล็ก ๆ ที่หยิบเอา 2 ตำนานมารวมร่างกัน

โดย Death’s Door เป็นผลงานของค่าย Acid Nerve จากเมือง Manchester ที่เป็นการหยิบเอาตำนานของวงการเกมอย่าง The Legend of Zelda มายำรวมกับเกมสุดโหด Dark Souls และจะนำเสนอด้วยภาพที่เรียบง่าย พร้อมเกมเพลย์แบบแอ็กชัน 2 มิติมุมมองจากด้านบนในมุมกล้องแบบเฉียง ที่ดูเรียบ ๆ ไม่ได้โดดเด่น แต่พอได้สัมผัสแล้วถือว่า Death’s Door มีดีกว่าที่คิดไว้พอสมควร โดยเกมจะวางขายบน PlayStation 4, PlayStation 5, Xbox One, Nintendo Switch, Xbox Series X and Series S และ PC

กราฟิกเรียบง่ายในแบบ 2D

ตามแนวทางที่ต้องใช้ทุนต่ำทำให้กราฟิกของ Death’s Door ดูเรียบง่ายตัวละครหลักจะเป็นนกน้อยสีดำที่หน้าตาดูหลอนมาก ที่ต้องออกไปผจญภัยในดินแดนลึกลับที่เต็มไปด้วยปีศาจร้าย ส่วนมุมกล้องจะเป็นแบบ 2 มิติมองจากด้านเฉียงและผู้เล่นไม่สามารถปรับเปลี่ยนมุมกล้องได้เลย แต่มุมกล้องของเกมจะเปลี่ยนตามจุดที่กำหนดเท่านั้น เช่นในฉากที่มีทางลับซ่อนอยู่ หรือเวลาบอสของด่านโผล่ออกมาจะมีการปรับมุมกล้องให้ดูอลังการเพื่อให้บอสดูน่ากลัวขึ้น

แต่โดยรวมภาพใน Death’s Door มันขาดรายละเอียดไปหน่อยโดยเฉพาะพื้นผิวที่ยังดูโล่ง ๆ ตัวละครหลักก็ไม่โดดเด่น แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเป็นทีมงานเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีทุนสร้างมากนัก ส่วนเพลงประกอบก็อาจจะดูไม่เข้ากับกราฟิก เพราะมีการใส่ธีมที่ดูยิ่งใหญ่อลังการ และมีเพลงดี ๆ ที่ฟังได้เพลิน ๆ อยู่โดยเฉพาะเวลาต่อสู้กับบอส ที่เหมือนกับได้เล่นแอ็กชันจากค่ายดัง อย่างไรก็ตามมันก็ไม่มีเสียงพากย์ ถือว่าน่าเสียดายเล็กน้อยเพราะทำให้การเล่าเรื่องดูเรียบไปหน่อย

รูปแบบการเล่นแอ็กชันที่เข้าใจง่ายแต่เกมยาก

เมื่อเริ่มเกมเราจะได้รับบทเป็น อีกา ที่หน้าตาไม่ค่อยน่ารัก โดยเขาจะเป็นผู้เก็บเกี่ยวรวบรวมวิญญาณ และจะทำงานอยู่ใน สำนักงานใหญ่ของ Reaping Commission ซึ่งเป็นทีมงานที่ดูแลในส่วนชีวิตหลังความตาย และตัวละครของเราจะถูกส่งไปรวบรวมวิญญาณของสัตว์ตามจุดต่าง ๆ และต้องออกต่อสู้กับระดับ Big Boss เพื่อเปิดประตูแห่งความตายแห่งใหม่ที่เป็นชื่อของเกม และจะนำเราไปสู่เรื่องราวที่คาดไม่ถึงและหักมุมในตอนท้ายเกมด้วย และยังมีฉากจบหลายแบบอีก

ส่วนเกมเพลย์ของ Death’s Door ก็อย่างที่บอกไปว่ามันคือแอ็กชัน 2 มิติที่เราต้องใช้อาวุธต่อสู้กับศัตรูในฉากที่มาหลากหลายรูปแบบ และต้องกดกลิ้งตัวหลบแล้วต้องหาจังหวะสวนกลับ และที่บอกว่ามันคล้ายกับตระกูล Dark Souls คือความยากเพราะแม้แต่ศัตรูธรรมดาก็อัดเราให้ตายได้ง่าย ๆ บอสในเกมก็มีความโหดพอตัว เราต้องวิ่งหลบและต้องหาช่องทางสวนกลับ แต่มันก็ไม่ได้ยากระดับสุดโหดเต็มร้อย หากผู้เล่นจับจังหวะได้ก็จะสามารถกำจัดได้แต่ก็ต้องมีหัวร้อนกันบ้าง

นอกจากนี้เกมมันไม่ได้มีอะไรช่วยผู้เล่นมากนัก เพราะไม่มีระบบแผนที่ผู้เล่นต้องหาทางไปต่อเอาเอง ส่วนอาวุธก็มีไม่กี่ประเภทที่มีระยะใกล้เช่นดาบ หรืออาวุธยิงไกลอย่างธนูนอกจากนี้ยังมีเวทมนตร์ให้ใช้อยู่บ้าง แต่ก็ใช้ได้จำกัดและก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ดังนั้นความโดดเด่นของ Death’s Door คือการเน้นฝีมือ ส่วนถ้าเราพลาดตายไปก็จะกลับมาที่ประตูแห่งความตายที่ใกล้กับจุดที่ตายมากที่สุดและไม่มีจุด Save เพื่ออำนวยความสะดวก ส่วนตัวละครจะมีการอัปเกรดความสามารถได้แต่ต้องกลับไปจุดเริ่มต้น และใช้ค่าพลังวิญญาณที่ได้จากการกำจัดศัตรูมาเพื่อเพิ่มค่าตัวละครในส่วนต่าง ๆ ได้

แก้ปริศนาแบบพอมีให้พอประมาณ

ส่วนการแก้ปริศนาก็มีมาให้พอประมาณ โดยเราต้องออกมองฉากให้ดีเพราะเนื่องจากเปลี่ยนมุมกล้องไม่ได้ ทำให้มันมีอะไรที่ถูกฉากบังตาอยู่ และมีการหาไอเทมมาเพื่อปลดล็อกหาทางไปต่อที่คล้ายกับเกม Zelda ด้วยแม้อาจจะไม่ได้ซับซ้อนเท่า แต่ก็ถือว่าเป็นข้อดีเพราะเราจะได้โฟกัสที่ความโหดของศัตรูที่โผล่มาแบบไม่หยุด โดยฉากในเกมแม้อาจจะเป็นแบบ 2 มิติมุมมองก็ดูเชย แต่จะมีความหลากหลายของงานออกแบบ และในฉากจะมีประตูแห่งความตายอยู่เป็นระยะเพื่อให้ผู้เล่นย้อนกลับไปฉากเริ่มต้นที่เหมือนเป็นฐานทัพที่เราจะสามารถคืนค่าพลังและอัปเกรดตัวละครได้

ส่วนยาเติมพลังก็ไม่มี เราต้องใช้การปลูกดอกไม้ตามกระถางในฉากแล้วถึงจะเติมพลังได้ ถือว่ามาแปลกและทำให้มันยากขึ้นไปอีก ส่วนอีกข้อสังเกตคือตัวเกมไม่ได้ยาวมากมายเมื่อเทียบกับแนวทางต้นฉบับที่ผู้สร้างพยายามจะเดินรอยตาม แต่ก็ไม่ได้สั้นจนเกินไปใช้เวลาประมาณ 9-10 ชั่วโมงในการเล่นให้จบ ซึ่งเมื่อเอามาเทียบกับราคาขายที่ไม่แพงแล้วยังถือว่าคุ้มค่า

โดยรวมแล้ว Death’s Door อาจจะไม่ได้โดดเด่นเทียบกับต้นฉบับที่พยายามจะเดินรอยตาม แต่ก็อย่าด้อยค่ามันไปเพราะเกมมีดีกว่าที่คิดพอสมควร เพราะมันสามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านรูปแบบการเล่นแบบ 2 มิติ แต่ก็มีความโหดในเกมเพลย์ที่ทำให้เราหัวร้อนได้แบบพอประมาณ และยังมีปริศนาให้แก้กันแบบเพลิน ๆ ด้วยเป็นอีกเกมที่แนะนำหากคุณชอบทั้ง Zelda และ Dark Souls

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส