‘Samsung Galaxy S Series’ แค่ได้ยินชื่อนี้ หลาย ๆ คนก็คงมีภาพความทรงจำมากมายเกี่ยวกับสมาร์ตโฟนเรือธงประจำปีจากแดนกิมจิเจ้านี้แน่นอน และในปีนี้ Samsung Galaxy S23 Series ก็ได้เปิดตัวมาให้เราทุกคนได้มาลองสัมผัสถึงความเป็น ‘เรือธงแห่งปี’ 2023 จากค่ายนี้ในไทยแล้ว ทางแบไต๋ได้รับโอกาสให้ได้ลองสัมผัสตัวเครื่อง Samsung Galaxy S23 Series ก่อนใครในประเทศไทย และในบทความนี้ เราในฐานะผู้ใช้ Samsung Galaxy S22 Ultra อยู่ จะมาเทียบข้ามรุ่นให้ได้อ่านกัน !

วัสดุและการจับถือ

ก่อนที่เราจะไปดูส่วนอื่น ๆ ทั้งหมด นอกเหนือจากเรื่องของสเปกข้างใน เราต้องดูส่วนที่เป็น ‘สัมผัสแรก’ จริง ๆ อย่างตัวเครื่องกันก่อน ด้วยวัสดุรอบตัวเครื่องของทั้ง 3 รุ่น ที่ใช้ Aluminium Armor ที่เราได้สอบถามทางไทยซัมซุงมา เขาบอกว่าใช้วัสดุรอบตัวเครื่องแบบเดียวกับบน Samsung Galaxy Z Flip 4 และ Z Fold 4 เลย ! ในขณะที่ฝาหลังของตัวเครื่องก็ใช้ Gorilla Glass Victus 2 ที่มีความทนทานค่อนข้างมากด้วย จากการได้ลองถือตัวเครื่องมา ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ สมเป็นเรือธงของปีจริง ๆ อย่างหนึ่งที่เปลี่ยนไปแน่ ๆ คือด้านข้างตัวเครื่องที่เลิกทำขอบโค้งมนแล้ว ไปเพิ่มความขอบตัดมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนที่ดี เพราะถ้าเราถือใช้รุ่นเดิมที่เป็นขอบโค้ง ตัวเครื่องก็แอบหลุดมือง่ายอยู่เช่นกัน

นอกจากนั้นยังมีสีที่แตกต่างจากเดิม เป็นสีเขียวเข้ม (Green), สีดำ (Phantom Black), สีครีมขาว (Cream) และสีลาเวนเดอร์ (Lavender) ซึ่งถ้าให้ถามความรู้สึกของสีเหล่านี้ก็อยากจะใช้คำว่า ‘เป็นผู้ใหญ่’ มากขึ้นจากในรุ่นที่ผ่าน ๆ มา โดยเฉพาะสีเขียวเข้มที่นอกจากจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแล้ว ยังสื่อถึงความรักโลก และความยั่งยืน ที่ Samsung เริ่มผลักดันให้เกิดขึ้นจริงได้มากขึ้น และเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ส่วนตัวเราก็ใช้ Samsung Galaxy S22 Ultra สีเขียวอยู่ ทำให้เราเองก็แอบสนใจสีเขียวเข้ม และสีดำของเขามากเช่นกัน

ฝาหลังของทั้ง 3 รุ่น (สี Phantom Black, Green และ Cream)

หน้าจอ

ที่นี้เราลองเปิดหน้าจอมาดูข้างในกันบ้าง หน้าจอ โดยเฉพาะหน้าจอ OLED ของ Samsung ถือว่าทำมาได้ดีอยู่ตลอด ในรุ่นนี้เองก็เช่นเดียวกัน เพราะซัมซุงยังคงใช้หน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2X ความสว่างสูงสุด 1,750 Nits กับรีเฟรชเรตสูงสุด 120Hz ทั้ง 3 รุ่น ทำให้ได้ภาพที่ทั้งลื่นไหล และสีสันสวยงามตามท้องเรื่องเลย โดยในรุ่น S23 และ S23+ ที่เป็นหน้าจอแบบราบเรียบ แม้จะไม่ได้มีความแตกต่างกับบน S22 Series มากนัก แต่ขอบของหน้าจอก็ไม่ได้รู้สึกว่ากินพื้นที่มากเกินไป

ในขณะที่ในรุ่น S23 Ultra ที่หน้าจอเป็นแบบโค้งเข้าด้านข้าง และเปลี่ยนทรงขอบด้านข้าง แต่ถ้าเรามองจากด้านหน้า หน้าจอของ S23 Ultra ก็ถือว่าไม่ได้แตกต่างจาก S22 Ultra มากนัก ด้วยการโค้งที่ไม่ได้มากขึ้น หรือน้อยลง

หน้าจอของทั้ง 3 รุ่น

เรื่องของแบตเตอรี่ น่าเสียดายที่เราไม่ได้มีเวลาในการทดสอบมากนัก จึงไม่สามารถทดสอบอะไรใด ๆ ได้ แต่จากข้อมูลที่ได้มาจากงานเปิดตัว แบตเตอรี่ของ S23 และ S23+ นั้นให้เพิ่มมาอีก 200 มิลลิแอมป์ เป็น 3,900 มิลลิแอมป์ใน S23 และ 4,700 มิลลิแอมป์ใน S23+ ส่วนใน S23 Ultra ก็ได้ให้แบตเตอรี่มา 5,000 มิลลิแอมป์เท่าเดิม ต้องรอดูกันอีกครั้งว่าในรุ่นใหม่นี้ แบตเตอรี่จะทนขึ้นหรือไม่

กล้องถ่ายภาพ

ขึ้นชื่อว่าเป็นสมาร์ตโฟนเรือธง สิ่งที่คนสนใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องกล้องถ่ายรูปแน่ ๆ กล้องถ่ายภาพของทั้ง S23 และ S23 + ให้กล้องหลังมา 3 เลนส์ด้วยกัน เป็นกล้องหลักขนาด 50 ล้านพิกเซล เลนส์กล้องมุมกว้างมาก 12 ล้านพิกเซล และกล้องเทเลโฟโต้ขนาด 10 ล้านพิกเซล แม้ว่ารุ่นนี้จะไม่ได้เน้นด้านการซูมมากเท่า S23 Ultra แต่คู่นี้ก็ถือว่าถ่ายภาพได้ดีเลยทีเดียว แถมยังซูมได้ตั้ง 30 เท่าแหน่ะ

ระหว่างที่เราทดสอบ สิ่งที่เราได้ลองเล่นมากที่สุดคือการถ่ายภาพนี่แหละ ดังนั้นเราขอนำตัวอย่างภาพมาวิเคราะห์ให้ได้ดูกัน !

แจ้งให้ทราบ : ตัวอย่างภาพถ่ายที่ได้นำมาให้ได้ชมกัน เป็นภาพถ่ายจากเครื่อง Pre-Production ซึ่งอาจจะมีซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้เหมือนกับเวอร์ชันขายจริง และด้วยข้อจำกัดของงานทำให้เราไม่สามารถนำไฟล์ภาพแบบเต็ม ๆ ให้ชมกันได้ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และ ภาพจาก S23 และ S23+ คาดว่าจะมีความเหมือนกันอยู่ ด้วยเซนเซอร์ของกล้องถ่ายภาพที่เป็นรุ่นเดียวกัน

ภาพถ่ายที่ถ่ายได้ถือว่าทำได้ดีงามเลยครับ แม้จะเป็นรุ่นน้องสุดของซีรีส์นี้ แต่ก็สามารถถ่ายมาใช้งานได้อย่างดีเลย รวมถึงการซูมที่สามารถหวังผลได้แบบไม่ต้องคิดอะไรเลยในระยะ 3 เท่าและ 10 เท่า ลองดูตัวอย่างภาพที่ได้นำมาให้ทุกคนได้ชมกันแล้ว ลองตัดสินใจดูว่าภาพถ่ายนี้ดีหรือไม่ อย่างไร (ทุกภาพที่ลงไว้ สามารถกดที่ภาพเพื่อดูภาพเต็มได้)

ทีนี้ เราก็ได้มีโอกาสในการถ่ายภาพในที่แสงน้อยด้วยเหมือนกัน โดยในรุ่นเล็กแบบ S23 และ S23+ ก็สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยให้มีรายละเอียดที่ดีได้ รวมถึงมีวิธีในการเก็บสภาพแสงที่มากได้ด้วย

แล้ว Samsung Galaxy S23 Ultra ล่ะ ?

ส่วนบน Samsung Galaxy S23 Ultra นั้น ได้มีปารปรับเซนเซอร์กล้องอยู่ โดยกล้องถ่ายภาพเลนส์หลักได้ให้ความละเอียดมาถึง 200 ล้านพิกเซล ที่ใช้การรวมพิกเซลแบบ Tetra Binning ใช้ 16 (4×4) เป็น 1 ทำให้ความละเอียดเหลือประมาณ 12 ล้านพิกเซล, กล้องมุมกว้างมากขนาด 12 ล้านพิกเซล , กล้องเทเลโฟโต้ ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ที่ให้มาถึง 2 เลนส์ เลนส์หนึ่งซูมได้ 3 เท่า และมีเลนส์เรือดำน้ำ Periscope อีกเลนส์หนึ่งที่ซูมได้ 10 เท่า รวมกันทำให้ซูมได้สูงสุด 100 เท่าเหมือนเดิม โดยเราก็ได้ทดสอบในเรื่องเดียวกัน ทั้งในเรื่องการถ่ายภาพในสภาพแสงมาก แสงน้อย และในที่มืด รวมไปถึงเราได้ทดสอบการถ่ายภาพบุคคล และการถ่ายภาพกล้องหน้าด้วย ขอไล่กันทีละโหมดกันไปเลยดีกว่า !

ในสภาพแสงปกติ การถ่ายภาพแบบทั่วไป คือสามารถใช้งานได้เลย โดยไม่ต้องแต่งเพิ่ม ด้วยสีของภาพในแบบของ Samsung ซึ่งสามารถหวังผลได้ดีมาก ๆ ทั้งในโหมด 1 เท่า, 3 เท่า และ 10 เท่าเลย ทั้ง 3 ภาพ เวลาถ่ายภาพมาแล้วจะเห็นได้ว่าภาพไม่ว่าจะซูมระดับใด ก็สามารถหวังผลที่ดีได้เลย

สำหรับการถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ในสภาพแสงปกติ ถือว่าทำได้ดีสมความเป็นซัมซุง แต่จากที่เราไปทดสอบมา เมื่อต้องมีการตัดเส้นผมที่อยู่เป็นทรงเล็กน้อย จะยังไม่ได้มีการตัดเส้นผมที่เนียนมากนัก แต่ด้วยซอฟต์แวร์ที่ยังไม่สมบูรณ์ ในซอฟต์แวร์เวอร์ชันขายจริงอาจจะได้ภาพที่ดีกว่านี้ก็ได้

ถ้าเกิดว่าอยู่ในสภาพแสงที่น้อยลง จนถึงน้อยมาก ภาพถ่ายที่ได้มา ก็ยังทำได้ดีอยู่เช่นกัน โดยสามารถถ่ายแบบหวังผลได้ทั้งแบบ 1 เท่า และ 3 เท่าเลย แต่ถ้าขยับไปถึง 10 เท่า ภาพที่ได้จะเริ่มมีสิ่งรบกวน (Noise) ในภาพมากยิ่งขึ้น แต่ยังสามารถใช้งานภาพได้แน่นอน แต่ต้องใช้เวลาในการถ่ายที่นานขึ้น เพื่อให้ภาพออกมาชัดขึ้นได้

สำหรับภาพในสภาพแสงกลางคืนจริง ก็สามารถถ่ายภาพให้สว่าง แต่ไม่ได้สว่างมากจนเกินความเป็นจริง ในขณะเดียวกันก็สามารถเก็บรายละเอียดของภาพได้จริงอีกด้วย

ถ้าเรามาถ่ายภาพบุคคลในเวลากลางคืน ภาพตัวอย่างจากเครื่องของคุณหนุ่ย – พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ สดจากซาน ฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอเนีย ได้ลองถ่ายภาพบุคคลเวลากลางคืนด้วย Samsung Galaxy S23 Ultra กลับมาฝากทุกคนกันด้วย โดยจากภาพจะเห็นได้ว่า ภาพมีการเก็บเรื่องของสีที่ดีขึ้น สกินโทนทำได้ดีกว่าเดิมด้วย

จากนั้นเราได้ลองถ่ายภาพในที่มืดสนิท มีแสงส่องมาเล็กน้อยเท่านั้น เราก็พบว่า ในรุ่น S23 Ultra การถ่ายภาพในที่มืดสนิทสามารถเก็บรายละเอียดได้ดี รวมถึงจับโฟกัสได้ดีกว่าในรุ่นที่แล้ว วัตถุที่อยู่ด้านหน้าไม่หลุดโฟกัสได้ง่าย ส่วนเรื่องสี ในบางจังหวะก็ให้สีที่ดี แต่ในบางจังหวะก็อาจจะมีต่างจากต้นฉบับอยู่เล็กน้อย

สุดท้ายคือเรื่องของภาพถ่ายกล้องหน้า ที่เปลี่ยนเซนเซอร์ไปใช้ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล จากเดิมที่เป็น 40 ล้านพิกเซล หลาย ๆ คนก็น่าจะเกิดคำถามว่าการลดความละเอียดของกล้องหน้าแล้วภาพจะยังดีอยู่หรอ ? เราได้ถามทางซัมซุงมาแล้ว เขาบอกว่า แม้จะใช้เซนเซอร์ 40 ล้านพิกเซล ไฟล์ภาพก็ยังลดขนาดหลังถ่ายเหลือ 12 ล้านอยู่ดีนะ ส่วนในเซนเซอร์ขนาด 12 ล้านพิกเซลใหม่นี้จะมีฟีเจอร์การจับโฟกัสที่ดีขึ้นด้วย Dual-Pixel ปรับแต่งภาพให้ดีขึ้น และมีโหมดโปรที่กล้องหน้าแล้วด้วย ตัวอย่างภาพก็ตามที่เห็นเลย !

บทส่งท้าย

ทั้งหมดนี้ถือเป็น ‘แรกสัมผัส’ ของสมาร์ตโฟนเรือธงมาใหม่จากค่ายซัมซุงที่เราได้นำมาฝากชาวแบไต๋กัน หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับทุกคนที่กำลังสนใจในสมาร์ตโฟนเรือธงเบอร์ต้นของฝั่ง Android เครื่องนี้กัน ! ก่อนจะจบบทความนี้ เราขอฝากราคาของ Samsung Galaxy S23 Series ไว้ดังนี้เลย !

  • Samsung Galaxy S23 8/128 GB – 30,900 บาท
  • Samsung Galaxy S23 8/256 GB – 33,900 บาท
  • Samsung Galaxy S23+ 8/256 GB – 37,900 บาท
  • Samsung Galaxy S23+ 8/512 GB – 42,900 บาท
  • Samsung Galaxy S23 Ultra 8/256 GB – 43,900 บาท
  • Samsung Galaxy S23 Ultra 12/512 GB – 49,900 บาท
  • Samsung Galaxy S23 Ultra 12/1TB GB – 59,900 บาท

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส