เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เราอยากนำมานำเสนอว่ามีวิธีที่สามารถทำให้ติดตั้ง Windows 11 ลงในคอมพิวเตอร์ที่สเปคไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นไม่มี TPM 2.0 (ล่าสุดในเอกสารระบุว่าต้องมี TPM 1.2 เป็นอย่างน้อย) และไม่สามารถเปิดในไบออส อัปเดตไบออส หรือไม่มีสล็อตสำหรับซื้อโมดูล TPM 2.0 มาติดตั้ง

หรือ CPU ไม่ถึงขั้นต่ำที่ Microsoft ระบุ หรืออาจเป็นไบออสที่ไม่มี Secure Boot ให้เปิด แต่วิธีที่เราเห็น ๆ มักจะมาจากการที่ Blogger, YouTuber นำเสนอกันเอง

แต่ในที่นี้เราไปพบวิธีที่ทาง Microsoft ประกาศไว้เอง ที่สำคัญไม่ต้องใช้ไฟล์อะไรมาช่วยด้วย แต่ไม่รับผิดชอบปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการทำ (เท่าที่เราทดสอบยังไม่พบปัญหาอะไร อัปเดตได้ปกติด้วย นอกจากเล่นเกม Valorant ไม่ได้เพราะเกมนี้หากรันบน Windows 11 บังคับต้องมี TPM 2.0 แต่ถ้าเครื่องใครมี TPM 2.0 แต่ CPU ไม่ถึงตามที่กำหนด ก็ยังสามารถลงแบบ Bypass แต่เปิด TPM 2.0+SecureBoot ก็ยังเล่น Valorant ได้ตามปกติ) โดยการแก้ไข Registry ดังนี้

คำเตือน: ก่อนทำเราแนะนำให้สำรองข้อมูลที่อยู่พื้นที่เดียวกับ Windows ก่อนทำเพื่อความปลอดภัย

การติดตั้งโดยการอัปเกรดจาก Windows 10 ของแท้แบบ FPP และ OEM

  1. เปิด Registry Editor จากวิธีไหนก็ได้เช่นคลิก Start แล้วพิมพ์ regedit เมื่อขึ้นมาคลิกเข้าไป หรือกด Windows+R แล้วพิมพ์ Regedit แล้วกด Enter
  2. ไปที่ HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\Setup\MoSetup
  3. คลิกขวาพื้นที่ว่าง เลือก New แล้วคลิก DWORD (32-bit)
  4. ตั้งชื่อว่า AllowUpgradesWithUnsupportedTPMOrCPU แล้วตั้งค่า Value เป็น 1
  5. กดปิด Registry Editor

จากนั้นท่านไปโหลด Windows 11 ได้จากที่นี่ โดยโหลดแบบ Create Windows 11 Installation Media หรือสร้างสื่อติดตั้ง และสามารถนำไปอัปเกรดจาก Windows 10 ได้เลย

หากไม่ได้ผลหรือต้องการลงแบบ Clean Install (ล้างเครื่องลงใหม่เป็น Windows 11 เลย)

  1. โหลดไฟล์ติดตั้ง Windows 11 จากที่นี่ โดยโหลดแบบ Create Windows 11 Installation Media หรือสร้างสื่อติดตั้ง หรือจะโหลดเป็น ISO ก็ได้แล้วนำไปสร้างตัวบูตติดตั้งด้วย USB
  2. ให้ทำการติดตั้ง Windows 11 โดยบูตจาก USB จนถึงขั้นตอนที่ฟ้องไม่ให้ติดตั้งเนื่องจากไม่ถึงสเปคขั้นต่ำที่กำหนด “This PC can’t run Windows 11.”
  3. จากนั้นกด Shift+F10 แล้วจะพบกับ Command Prompt ให้พิมพ์ regedit (หากไม่ขึ้นเป็นข้อความภาษาอังกฤษ ให้กด alt+shift ก่อน แล้วลองพิมพ์อีกครั้ง) แล้วกด Enter จะขึ้นหน้าต่าง Registry Editor (หากพิมพ์ภาษาอังกฤษไม่ได้ ให้กด Alt+Shift เพื่อเปลี่ยนภาษาแป้นพิมพ์)
  4. ไปที่ HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\Setup
  5. คลิกขวาพื้นที่ว่าง เลือก New แล้วคลิก Key
  6. ตั้งชื่อ Folder ว่า LabConfig 
  7. เข้าไปที่ Folder ชื่อ LabConfig แล้วคลิกขวาพื้นที่ว่าง เลือก New แล้วคลิก DWORD (32-bit)
  8. ตั้งชื่อว่า BypassTPMCheck แล้วตั้งค่า Value เป็น 1
  9. คลิกขวาพื้นที่ว่าง เลือก New แล้วคลิก DWORD (32-bit)
  10. ตั้งชื่อว่า BypassRAMCheck แล้วตั้งค่า Value เป็น 1
  11. คลิกขวาพื้นที่ว่าง เลือก New แล้วคลิก DWORD (32-bit)
  12. ตั้งชื่อว่า BypassSecureBootCheck แล้วตั้งค่า Value เป็น 1
  13. กดปิด Registry Editor และ Command Prompt
  14. กดถอยหลังหน้าติดตั้งมาหน้าแรก และทำการติดตั้งตามขั้นตอนตามปกติ พบว่าจะสามารถติดตั้งได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม การลงด้วยวิธีเหล่านี้หากเครื่องที่ไม่มี Secure Boot จะเล่นเกม Valorant ไม่ได้นะครับ แต่ถ้าเครื่องใครมี Secure Boot แต่ไม่ผ่านเกณฑ์ เมื่อลงแบบนี้แล้วสามารถกลับไปเปิด Secure Boot เพื่อเล่นเกม Valorant ได้ตามปกตินะครับ

อ้างอิง: Microsoft Support, digit

เข้าร่วม OpenChat แบไต๋ คุยเรื่องไอที สอบถามปัญหาไอทีได้ที่

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส