สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า นายโจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ประกาศลงเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ในปี 2024 ท่ามกลางผลสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันที่ระบุว่า “เขาแก่เกินไป”

เมื่อคืนวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่วิดีโอสำหรับการหาเสียงของนายไบเดน ซึ่งมีเนื้อหาโจมตี นายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้สมัครลงเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2024 อย่างเปิดเผย โดยภาพแรกของวิดีโอดังกล่าว คือ เหตุการณ์ที่ผู้สนับสนุนของนายทรัมป์บุกโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม ปี 2021 หลังจากพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อปี 2020

เนื้อหาในวิดีโอดังกล่าวยังระบุว่า พรรครีพับลิกันเป็นภัยคุกคามต่อเสรีภาพของชาวอเมริกัน รวมถึงการจำกัดประกันสุขภาพของผู้หญิง, การตัดประกันสังคม และการแบนหนังสือ ซึ่งนายไบเดนมุ่งมั่นจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ไปพร้อม ๆ กับการปราบปรามกลุ่มหัวรุนแรง MAGA ซึ่งเป็นคำย่อของ Make America Great Again สโลแกนหาเสียงของนายทรัมป์ เมื่อปี 2020

นอกเหนือจากการต่อสู้กับนายทรัมป์ในสนามการเลือกตั้งแล้ว การเอาชนะใจชาวอเมริกันอีกครั้งถือเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับนายไบเดน โดยผลสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันที่จัดโดยสำนักข่าวรอยเตอร์สและอิปซอสส์ เปิดเผยให้เห็นว่า ชาวอเมริกันรู้สึกกังวลเกี่ยวกับอายุของนายไบเดน หากเขาชนะการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ ในขณะที่ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตจำนวน 44% ระบุว่า นายไบเดนแก่เกินไปที่จะลงเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2

ทั้งนี้ ความกังวลของชาวอเมริกันต่ออายุของนายไบเดน มีที่มาจาก ปัจจุบัน นายไบเดนมีอายุ 80 ปี และนับเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐอเมริกา โดยนายไบเดนจะหมดวาระสมัยแรกเมื่ออายุ 82 ปี ในปี 2024 ดังนั้น หากเขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 จะทำให้เขาหมดวาระการดำรงตำแหน่งปี 2029 ขณะมีอายุ 86 ปี

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคด้านอายุไม่ใช่ปัญหาของนายไบเดนเพียงคนเดียว เนื่องจากปัจจุบัน นายทรัมป์เองก็มีอายุมากถึง 76 ปี ถ้าหากเขาชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ และขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาจะหมดวาระลงขณะที่มีอายุราว 83 ปี ซึ่งชาวอเมริกันถือว่า “แก่เกินไป” เช่นกัน

ผลสำรวจความคิดเห็นยังเผยอีกว่า ส่วนใหญ่ของชาวอเมริกันที่มีสิทธิเลือกตั้งไม่ต้องการให้นายไบเดนและนายทรัมป์ลงเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ทั้งคู่

ที่มา : Reuters

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส