ประเทศฝรั่งเศสถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความเป็น ‘ประชาธิปไตย’ ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะกฎการเลือกตั้งที่ค่อนข้างมีความเฉพาะตัวอย่างมาก กว่าจะได้ประธานาธิบดีที่จะขึ้นเป็นประมุขของประเทศได้ ประชาชนต้องออกไปเลือกตั้งกันมากถึง 2 ครั้ง ในระยะเวลาห่างกันเพียง 2 สัปดาห์

beartai BRIEF จะพาไปทำความรู้จักกับการเลือกตั้งฝรั่งเศสในรูปแบบนี้กัน ทำไมถึงต้องเลือกตั้ง 2 ครั้งและมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ตามอ่านได้ในบทความนี้เลย

การเลือกตั้งประธานาธิบดีในฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศ นับเป็นหนึ่งในกฎการเลือกผู้นำที่เข้มงวดและเที่ยงตรงมาก ๆ เพราะประธานาธิบดีจะถูกเลือกมาจากคะแนนเสียงโดยตรงจากประชาชน แบ่งเป็นการเลือกตั้งทั้งหมด 2 รอบ

  • รอบแรก เลือกจากผู้สมัครมากกว่า 2 คน (เลือกตั้งครั้งล่าสุดมีผู้สมัคร 12 คน)
  • รอบสอง เลือกจากผู้สมัครที่มีคะแนนจากรอบแรกมากที่สุด 2 อันดับแรก

ทั้งนี้ กฎหมายฝรั่งเศสบอกว่าถ้าในการเลือกตั้งครั้งแรก มีผู้สมัครที่ได้คะแนนมากกว่า 50% ผู้สมัครคนนั้นจะถูกเลือกเป็นประธานาธิบดีไปเลยโดยปริยาย แต่เรื่องนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะด้วยความที่มีผู้สมัครเยอะ (เลือกตั้งครั้งล่าสุดมีผู้สมัคร 12 คน) จึงทำให้คะแนนเสียงค่อนข้างกระจาย แทบไม่มีคนไหนมีสิทธิ์ได้คะแนนเสียงมากกว่า 50% อยู่แล้ว

ดังนั้น จึงเกิดการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ขึ้นมา โดยจับเอาผู้สมัครสองอันดับแรกที่มีคะแนนเสียงสูงที่สุดมาประชันกันอีกครั้ง การทำแบบนี้จะทำให้คะแนนเสียงเกิดความเที่ยงธรรมมากขึ้น ไม่สะเปะสะปะ ส่งผลให้มีความน่าเชื่อถือและสะท้อนมาจากคะแนนเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง โดยใครที่มีคะแนนเสียงมากกว่า 50% ก็ชนะการเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดีเลย ทั้งนี้ ประธานาธิบดีฝรั่งเศสมีวาระดำรงตำแหน่งอยู่ได้ 5 ปีและจะอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกินสองวาระ

การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสครั้งล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงปีที่แล้วนี้เอง เรียกว่าเป็นการแข่งขันชิงเก้าอี้สุดดุเดือดระหว่าง เอ็มมานูเอล มาครง (Emmanuel Macron) และ มารี เลอ แปน (Marie Le Pen) ซึ่งทั้งคู่เป็นคนที่มีอุดมการณ์ต่างกันสุดขั้ว โดยในการเลือกตั้งรอบแรก มีผู้สมัครมากถึง 12 คน ทั้งคู่มีคะแนนเสียงมากที่สุดในการเลือกตั้งรอบแรก ด้วยคะแนน 27.85% และ 23.15% ตามลำดับ ทำให้เข้ารอบไปชิงกันต่อในยกที่ 2

ขณะที่อันดับ 3 ของผู้สมัคร ฌอง-ลุค เมลองชง ตามมาติด ๆ ด้วยคะแนน 21.95% แต่ก็อดเข้าสู่รอบชิง เพราะนับแค่ 2 อันดับแรกเท่านั้น แต่ถ้าลองสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าคะแนนทั้ง 3 อันดับแรกไม่ห่างกันมาก จนเมื่อมีการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ขึ้นมา นั่นหมายความว่าจะเป็นการเอาคะแนนอันดับ 3-12 ที่เหลือมาเฉลี่ยกัน ผลที่ได้คือถึงแม้ประชาชนจะไม่ชอบผู้สมัครอันดับ 1 กับ 2 แต่ก็ต้องไปลงคะแนนเลือกอยู่ดี ไม่เช่นนั้นก็ต้องโหวตไม่ลงคะแนนเสียงอย่างเดียว

การเลือกตั้งครั้งที่ 2 จึงเหมือนเป็นการลงคะแนนเอาชัวร์ วัดกันเน้น ๆ ไปเลยระหว่างผู้สมัคร 2 คน ทั้งนี้ จากข้อมูลกลับบอกว่าพบคน ‘ไม่ลงคะแนนเสียง’ มากถึงกว่า 12 ล้านโหวต คิดเป็นตัวเลขสูงถึง 28.01% เลยทีเดียว โดยประชาชนส่วนหนึ่งที่โหวตโนให้เหตุผลว่าผู้สมัครทั้ง 2 คน ไม่ใช่คนที่พวกเขาอยากเลือก

สรุปแล้ว การเลือกตั้ง 2 รอบในฝรั่งเศสนับเป็นระบบการเลือกตั้งที่น่าสนใจ ได้คะแนนที่เที่ยงตรง หนักแน่นและดูมีความน่าเชื่อถือมาก แต่ก็ต้องแลกมากับงบประมาณมหาศาลที่ใช้ไปกับการจัดการเลือกตั้งทั้ง 2 รอบ ส่วนประชาชนก็ต้องเสียเวลาออกไปเลือกตั้ง 2 รอบเช่นกัน แถมห่างกันเพียงแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น

ที่มา : France 24

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส