ยุคนี้ทำไมใครก็อยากเป็น ‘Gig’ (กิ๊ก) เทรนด์ใหม่ที่เหล่า Worker ต้องเผชิญ วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ ‘Gig’ ในด้านการทำงาน ที่แม้แต่คนที่อ่านบทความนี้อยู่ก็อาจจะเป็น Gig แบบไม่รู้ตัว
สถานการณ์เปลี่ยน บริบททางสังคมต่างจากอดีต รูปแบบของการทำงานก็ถูกพัฒนาและปรับตัวให้เข้ากับยุค เกิดเป็นเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ที่ทั่วโลกพร้อมใจปรับตัวที่เรียกว่า ‘Gig Economy’ ซึ่งเป็นงานอิสระ งานชั่วคราว หรืองานครั้งคราวที่ทำจบเป็นครั้ง ๆ ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ที่ถูกกำหนดไว้ และไม่ได้มีการผูกมัดด้วยสัญญาจ้างประจำแบบปกติทั่วไป อาทิเช่น การทำงานรับจ้าง หรือฟรีแลนซ์ โดยผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีมามีส่วนสำคัญ จนเกิดเป็นระบบแรงงานดิจิทัล อาทิ แอปฯ สั่งอาหาร, แอปฯ เรียกรถ, แอปฯ หางาน/หาคนรายวัน ที่เรารู้จักกันดี โดยคนที่อยู่ในกลุ่มการทำงานแบบนี้อาจถูกเรียกว่า ‘Giger’ หรือ ‘Gig Worker’
ผลสำรวจของอีไอซี (EIC) หรือศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจของธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่าสัดส่วนของคนทำงานฟรีแลนซ์หรือ Gig Worker นั้นคิดเป็น 30% ของคนวัยทำงาน นอกจากนี้ 86% ของคนไทยที่ทำงานประจำอยากลาออกมารับงาน Gig Work
ทำไม ‘Gig Economy’’ ถึงกลายเป็นเทรนด์ใหม่ ?
จริง ๆ การทำงานในรูปแบบ ‘Gig Economy’ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ขนาดนั้นแล้วในตอนนี้ ลองสังเกตดูว่าคุณอาจจะมีคนรู้จักหรือคนรอบตัวที่เป็น ‘Gig Worker’ อยู่ก็ได้ แต่จุดเริ่มต้นหรือสิ่งที่ทำให้เทรนด์นี้มีกระแสขึ้นมาเริ่มจากการเติบโตของเทคโนโลยี และการสร้างแอปพลิเคชันเพื่อรองรับการทำงานแบบออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Uber, Upwork หรือ Airbnb ถ้าในไทยเราก็อาจจะคุ้นเคยกับแอปพลิเคชัน Fastwork ที่ทำให้ระบบการจ้างแรงงานดิจิทัลเปลี่ยนวิถีการทำงานแบบดั้งเดิมไป ประกอบกับการเกิดวิกฤตต่าง ๆ ที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะวิกฤตเศรษฐกิจ หรือวิกฤตสังคม
และยิ่งไม่กี่ปีมานี้ช่วงหลังจากสถานการณ์โควิด-19 หลายบริษัทปรับตัวให้มีการทำงานที่ไฮบริด หรือ Work From Home มากขึ้น ประกอบกับทัศนคติของคนทำงานที่มีความยืดหยุ่น ต้องการ Work Life Balance หลายคนผันตัวเป็นฟรีแลนซ์เต็มตัว เพื่อที่จะได้มีเวลาทำอย่างอื่นในชีวิต บ้างก็ทำงานประจำพร้อมรับงานฟรีแลนซ์ควบคู่ไปด้วย เพื่อเพิ่มช่องทางหารายได้
เมื่อค่าครองชีพยังคงสูงขึ้น ผู้คนจำนวนมากจึงเริ่มหันมาหารายได้พิเศษเพื่อความอยู่รอด รายงานจาก BankNote ระบุว่า กว่า 1 ใน 3 ของชาวอเมริกันที่ทำงานเสริมเชื่อว่า ตนเองจะต้องมีงานเสริมแบบนี้ตลอดไป และภายในปี 2027 คาดว่าจะมีชาวอเมริกันอีก 26 ล้านคน เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจงานเสริม จากรายงานนี้จึงบอกได้เลยว่าไม่ใช่แค่ในไทยเท่านั้น แต่ปัจจุบันแรงงานทั่วโลกก็ต่างแสวงหางานเสริม
เป็น ‘Gig’ แล้วดีอย่างไร ?
การที่คนยุคใหม่เริ่มทำงานเป็น ‘Gig Economy’ส่งผลดีในด้านไหนบ้าง ทำไมหลายคนถึงกลายเป็นและอยากเป็น ‘Gig’
1. มีอิสระในการเลือกงานและจัดการเวลา
การเป็น Gig Worker ทำให้สามารถเลือกรับงานตามความถนัด ความสนใจ หรือช่วงเวลาที่สะดวกได้ เช่น เลือกทำงานเฉพาะวันหยุด หรือเวลานอกเหนือจากงานประจำ ซึ่งตอบโจทย์คนที่ไม่ต้องการผูกมัดกับเวลาทำงานแบบตายตัวเหมือนงานประจำ
เช่น บางคนอาจเลือกทำงานส่งอาหารช่วงเย็นหลังเลิกงาน หรือรับโปรเจกต์ออกแบบในวันเสาร์อาทิตย์
2. มี Work-Life Balance ที่ดีขึ้น
เพราะสามารถจัดสรรเวลาเองได้ จึงมีเวลาให้กับครอบครัว งานอดิเรก หรือเรื่องส่วนตัวมากขึ้น ลดภาวะ Burnout ที่เกิดจากการทำงานหนักต่อเนื่องเหมือนในระบบงานประจำ
โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ “ชีวิต” พอ ๆ กับ “งาน” การเป็น Gig จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์
3. ลดต้นทุนชีวิต
งานลักษณะนี้มักไม่ต้องเดินทางเข้าออฟฟิศ ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง อาหารกลางวัน หรือเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายในการทำงาน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายแฝงที่คนทำงานประจำต้องเจอทุกวัน เมื่อทำงานจากที่บ้านหรือเลือกเวลาทำงานเองได้ จึงช่วยเซฟค่าใช้จ่ายได้มากในระยะยาว
4. สร้างโอกาสหารายได้หลายช่องทาง
ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรายได้ทางเดียว สามารถทำหลายงานควบคู่กันได้ เช่น ทำงานประจำไปด้วย และรับงานฟรีแลนซ์เสริมไปด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์มากในยุคที่ค่าครองชีพสูง และรายได้ทางเดียวไม่พอ บางคนเริ่มจากงานเสริม แล้วต่อยอดกลายเป็นอาชีพหลักอีกด้วย
5. เปิดโอกาสให้คนเริ่มต้นง่าย
ระบบ Gig ทำให้คนเข้าถึงโอกาสในการทำงานง่ายขึ้น ไม่ต้องมีประสบการณ์เยอะก็สามารถเริ่มรับงานได้ โดยเฉพาะเมื่อมีแพลตฟอร์มช่วยเชื่อมโยงงานกับคน เช่น Fastwork, Upwork หรือ Grab
คนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน หรือเปลี่ยนสายอาชีพ ก็สามารถเข้าระบบนี้ได้โดยไม่ต้องมีทุนมาก
6. สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจดิจิทัล
Gig Worker มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล เพราะการทำงานผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ทำให้แอปพลิเคชันและเทคโนโลยีเติบโตแบบก้าวกระโดด สร้างระบบนิเวศใหม่ ๆ ที่เอื้อต่อการจ้างงานยุคใหม่ ทั้งแพลตฟอร์มและคนทำงานพัฒนาไปพร้อมกัน
7. หลากหลายทางเลือกชีวิต
การเป็น Gig ยังเปิดโอกาสให้คนได้ลองงานใหม่ ๆ ที่อาจไม่เคยคิดว่าทำได้มาก่อน เช่น รับรีวิวสินค้า ถ่ายภาพขายออนไลน์ หรือเป็นผู้ดูแลเพจ ช่วยให้ค้นหาตัวตนและศักยภาพของตัวเองได้มากขึ้น
‘Gig Economy’ กระทบกับใคร ?
สำหรับมุมมองเรื่องผลกระทบ ‘Gig Economy’ กับการเติบโตในด้านเศรษฐกิจผ่านแพลตฟอร์มงานชั่วคราวนี้ได้จุดประเด็นเกี่ยวกับสิทธิแรงงาน ความมั่นคงในการจ้างงาน และบทบาทของเทคโนโลยี
ด้านสิทธิแรงงาน เกิดคำถามเรื่องความเป็นธรรม ทั้งในแง่ค่าตอบแทน และชั่วโมงการทำงาน ที่ไม่เหมาะสม เรื่องความไม่มั่นคงในการทำงาน เนื่องจากไม่มีการทำสัญญาว่าจ้างที่ถูกต้องที่จะครอบคลุมไปถึงการคุ้มครองด้านกฎหมาย จึงเสี่ยงถูกเอารัดเอาเปรียบได้ง่าย
เรื่องเทคโลยีที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินชีวิตที่สร้างงาน เปรียบเสมือนตัวกลางในการจ้างงาน การผลิตงาน ทุกกระบวนการตั้งแต่การสรรหางาน – คน ก็จะทำให้เกิดการแข่งขันในเชิงการพัฒนาเทคโนโลยีที่ดีและตอบโจทย์การทำงาน เพิ่มทางเลือกให้คนทำงานได้อีกช่องทางหนึ่ง
นอกจากนี้ในมุมของบริษัทหรือองค์กรจะประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในกระบวนการสรรหาบุคลากร และไม่จำเป็นต้องมีสวัสดิการมารองรับคนทำงานรูปแบบนี้ ง่ายต่อการจัดการของบริษัทขนาดเล็กที่กำลังเริ่มต้นการทำธุรกิจ หรือองค์กรที่มีนโยบายรับฟรีแลนซ์เนื่องมาจากเหตุผลด้านการปรับโครงสร้างขององค์กร
‘Gig Economy’ ส่งผลต่อการเติบโตของแอปพลิเคชัน แพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ด้วยจุดเด่นเรื่องความยืดหยุ่น อิสระ และข้อจำกัดในการเริ่มต้นที่ต่ำ โดยคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 21,450 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2033 (ข้อมูลจาก The World Economic Forum องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร)
ตอนนี้ ‘Gig Economy’ กลายเป็นทางเลือกด้านการทำงานของคนยุคใหม่ ในช่วงที่คนทำงานต้องการสร้างสมดุลในการใช้ชีวิต ยืดหยุ่น และอิสระ อีกทั้งยังถือเป็นเทรนด์ที่ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงบนโลกในวันที่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน