สำนักงานอัยการสูงสุดของบาฮามาสเผยว่าเมื่อเย็นวันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม ได้ดำเนินการจับกุม แซม แบงแมน-ฟรายด์ (Sam Bankman-Fried : SBF) ผู้ก่อตั้งและอดีตซีอีโอ FTX ที่ล้มละลายจากวิกฤติสภาพคล่อง ตามคำขอของรัฐบาลสหรัฐฯ หลังถูกสำนักงานอัยการสหรัฐฯ ในเขตทางใต้ของนิวยอร์กได้ยื่นฟ้องคดีอาญาและขอให้มีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสหรัฐฯ

2 พฤศจิกายน CoinDesk รายงานว่างบดุลในบริษัท Alameda Research ของ SBF ส่วนใหญ่ถือครอง FTT โทเค็นของ FTX (เจ้าของเดียวกัน) และ SOL ซึ่งดูแล้วน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับสภาพคล่อง ต่อมา 6 พฤศจิกายน CZ ซีอีโอของ Binance เผยว่าได้วางแผนที่จะเทขาย FTT ที่ถือครองอยู่ หลังจากได้ออกจากการถือหุ้นใน FTX เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งได้สินทรัพย์ติดมือมามูลค่า 2,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (77,351 ล้านบาท) ประกอบด้วย BUSD และ FTT โดยจะทยอยขาย FTT ให้กระทบตลาดน้อยที่สุด

7 พฤศจิกายน เริ่มมีการถอน Stablecoin มูลค่า 451 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (16,633 ล้านบาท) ออกจาก FTX ส่งผลให้นักลงทุนแห่ขาย FTT ต่อมาวันที่ 9 พฤศจิกายน FTX ประกาศว่าได้ตกลงขาย FTX.COM ให้กับ Binance (คู่แข่ง) ยกเว้น FTX.US ต่อมา Binance ได้ยกเลิกการช่วยเหลือเข้าซื้อกิจการ ส่งผลให้ FTX ประกาศระงับการถอนเงินชั่วคราวและรับลูกค้าใหม่ในวันที่ 10 พฤศจิกายน หลังจากถูกนักลงทุนแห่ถอนเงิน 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (200,000 ล้านบาท) ภายใน 3 วัน และได้ประกาศล้มละลายเมื่อ 11 พฤศจิกายน พร้อมกับการออกจากตำแหน่งซีอีโอของ SBF

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานจากแหล่งข่าวคนวงในว่าก่อนการล้มละลายของ FTX พบว่า SBF ได้แอบย้ายเงินของลูกค้ามูลค่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (347,600 ล้านบาท) ไปยัง Alameda ทำให้เงินของลูกค้าหายไปอย่างน้อย 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (34,760 ล้านบาท) ทั้งนี้ SBF เผยว่าบริษัทไม่ได้โอนเงินไปอย่างลับๆ แต่อ่านเลเบลข้อมูลผิด และเงิบเมื่อถูกถามเรื่องเงินที่หายไป หลังจากนั้น SBF ก็ให้สัมภาษณ์ว่าล้มเหลวในการบริหารความเสี่ยง แต่ไม่เคยฉ้อโกง

กลางเดือนพฤศจิกายน สำนักงานอัยการสหรัฐฯ ในแมนฮัตตันได้เริ่มสืบสวนการจัดการเงินทุนของลูกค้าโดย FTX รวมทั้ง กลต. สหรัฐฯ และหน่วยงานกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสหรัฐฯ (CFTC) ก็ได้เปิดการสอบสวนด้วยเช่นกัน นอกจากนี้นักลงทุนคริปโทในสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้อง SBF และคนดังที่สนับสนุนและเชียร์ FTX ว่ามีส่วนร่วมกันหลอกลวงให้นักลงทุนเสียหาย 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (382,140 ล้านบาท)

ที่มา : reuters

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส