ฟินแลนด์ และสวีเดน จะเป็นสมาชิกองค์การนาโต (NATO) ในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน เนื่องจากทั้งสองประเทศต้องการความมั่นคงทางด้านป้องกันประเทศและการคุ้มครองด้านการทหารจากสมาชิกนาโต้ ในกรณีที่รัสเซียบุกรุกล้ำดินแดนเข้ามา

ทั้งสองประเทศในแถบสแกนดิเนเวียได้ยึดถือนโยบายความเป็นกลางมาตลอดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา รัสเซียทำสงครามกับยูเครนมีผลทำให้ทัศนคติของรัฐบาลและประชาชนทั้งสองประเทศเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันที่ฟินแลนด์ ก่อนที่รัสเซียตัดสินใจบุกรุกยูเครนเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ ความรู้สึกโดยทั่วไปของคนฟินแลนด์และสวีเดนคือ อย่าไปยุ่งกับรัสเซีย คนพาลข้างบ้าน อยู่เป็นกลางดีกว่า

ในฟินแลนด์ เมื่อปีที่แล้วมีการสำรวจความคิดเห็นประชาชนว่าอยากเข้าเป็นสมาชิกนาโต้หรือไม่ ปรากฎว่ามีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เอาด้วย ในอาทิตย์ที่ผ่านมามีการสำรวจใหม่ ปรากฎว่าประชาชนสนับสนุนเพิ่มขึ้นถึง 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ ยิ่งมีประธานาธิบดีฟินแลนด์ เซาลี นีนิสเตอ (Sauli Niinisto) ออกมาสนับสนุนอีกแรงหนึ่ง ก็เท่ากับว่า ฟินแลนด์ได้เป็นสมาชิกนาโต้เรียบร้อยแล้ว เพราะมีความพร้อมมากที่สุดทางด้านทหารและยุทโธปกรณ์ที่จะเข้าร่วมองค์การนาโต้ได้ทันที แถมยังมีกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปด้วย เพราะเคยสู้รบตบมือกับรัสเซียมาแล้ว เคยเสียดินแดนถึง 10 เปอร์เซ็นต์ให้กับรัสเซีย

โดยลำพัง สวีเดนคงไม่กล้าเข้ากลุ่มนาโต้ประเทศเดียว แต่บังเอิญนายกรัฐมนตรีทั้งสองเป็นสุภาพสตรี คือซันนา มาริน (Sanna Marin) นายกรัฐมนตรีของฟินแลนด์ กับ มักดาเลียนา อันเดอซ็อน (Magdelena Andersson) นายกรัฐมนตรีของสวีเดน มีความคิดเห็นตรงกันว่าต้องเข้าเป็นสมาชิกพร้อมกัน ต่อไปนี้องค์การนาโตจะใหญ่ขึ้นมีแสนยานุภาพเพิ่มขึ้น

ในขณะเดียวกันจะทำให้ทวีปยุโรปอยู่ในสภาวะที่อันตรายล่อแหลมมากขึ้น เท่ากับว่าเป็นการยั่วยุรัสเซียซึ่งมีขีปนาวุธติดหัวนิวเคลียร์มากที่สุดในโลกเกือบ 7,000 หัว สาเหตุที่รัสเซียทำสงครามกับยูเครนก็เพราะว่ายูเครนต้องการเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโต รัสเซียตอกย้ำเสมอว่าจะไม่ยอมให้สมาชิกนาโต้อยู่ติดชายแดนรัสเซียไม่ว่าตรงไหนก็ตาม เพราะสามารถพัฒนาเป็นที่ตั้งฐานทัพได้ ถือเป็นภัยคุกคามความมั่นคงประเทศที่ร้ายแรง

ต้องติดตามดูว่าประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) จะมีมาตรการตอบโต้อะไรออกมาหลังสงครามยูเครนเสร็จสิ้น ซึ่งมีท่าทีที่จะยืดเยื้อออกไป ตามจริงปูตินต้องรับผิดชอบต่อสถานการณ์ในยุโรปที่เลวร้ายกว่าเดิม เขาเองเป็นตัวก่อเหตุและเป็นผู้ขับเคลื่อนให้ฟินแลนด์และสวีเดนเปลี่ยนท่าทีแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

ขณะนี้ยุโรปจึงเป็นดินแดนที่เสี่ยงต่อการเป็นเป้าหมายอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียในอนาคตอย่างแน่นอน

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส