ดรูว์ แบร์รีมอร์ (Drew Barrymore) นักแสดงไอคอนยุค 90s อีกคนที่มีผลงานการแสดงมาตั้งแต่วัยแบเบาะยังไม่ขึ้นขวบดี ด้วยการรับงานโฆษณาตั้งแต่วัย 9 เดือน และมีผลงานการแจ้งเกิดตั้งแต่ยังเป็นหนูน้อยวัย 6 ขวบ ด้วยการรับบทเป็น เกอร์ตี้ น้องเล็กของ 3 พี่น้อง ในหนังเรื่อง ‘E.T. the Extra-Terrestrial’ (1982) แจ้งเกิดให้เธอกลายเป็นนักแสดงเด็กที่โด่งดังและมีผลงานการแสดงในเวลาต่อมาอีกมากมาย

ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่า แม้เธอจะกลายเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของวงการในยุคนั้น เป็นยุครุ่งโรจน์ที่ท่วมท้นไปด้วยชื่อเสียงและเงินทอง แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยเบื้องหลังชีวิตของเธอที่แสนจะขมขื่น ทั้งการที่เธอเกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่มีพ่อแม่แสนจะบิดเบี้ยว การรับมือกับชื่อเสียงที่มาเร็วเกินวัย เริ่มติดแอลกอฮอล์และยาเสพติดตั้งแต่เพิ่งย่างเข้าวัยรุ่น จนนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่ทำให้เธอพยายามฆ่าตัวตายหลายต่อหลายครั้ง

Drew Barrymore Steven Spielberg E.T. the Extra-Terrestrial

แต่แม้เธอจะต้องเผชิญกับอาการเสียหลัก จนช่วงหนึ่งเธอถึงกับเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นนักแสดงที่มีภาพลักษณ์หัวขบถดื้อรั้นจนฮอลลีวูดถึงขั้นกาหัวในฐานะนักแสดงที่ถูกแบนจากบรรดาสตูดิโอต่าง ๆ แต่นักแสดงที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์อย่างแบร์รีมอร์ ก็ยังมีผลงานการแสดงให้ได้เห็นอยู่เรื่อย ๆ และส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเธอเองอยู่ภายใต้ร่มเงาของพ่อมดฮอลลีวูดอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ในฐานะพ่อทูนหัว ที่คอยสอดส่องพฤติกรรมของลูกสาวจอมดื้อคนนี้ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง และเติมเต็มความอบอุ่นให้เธอมาโดยตลอด

ในบทสัมภาษณ์ล่าสุดของทางเว็บไซต์ Vulture แบร์รีมอร์ วัย 48 ปี ได้เปิดเผยเรื่องราวใหม่ระหว่างอดีตเด็กสาววัยว้าวุ่นในเวลานั้น กับพ่อทูนหัวของเธอ โดยเธอเองได้ยกให้สปีลเบิร์กเป็นผู้ปกครองที่เป็นแบบอย่าง และเรียกเขาว่าเป็น “บุคคลเดียวในชีวิตของฉัน ที่เป็นเสมือนผู้ปกครองมาจนถึงทุกวันนี้” และยังเผยว่า ระหว่างถ่ายทำหนัง ‘E.T.’ ด้วยความที่สปีลเบิร์กมักจะสนิทสนมกับเหล่านักแสดงเด็ก ๆ อยู่แล้ว โดยเฉพาะกับแบร์รีมอร์ ที่ทั้งคู่สนิทสนมกันอย่างแน่นแฟ้น

ในเวลานั้น แบร์รีมอร์เธอเป็นคนแรกที่ถามสปีลเบิร์กว่า เขาจะสามารถมาเป็นพ่อของเธอได้ไหม ซึ่งสปีลเบิร์กได้แต่ตอบสั้น ๆ ว่า ไม่ได้ เธอจึงถามอีกว่า เขาจะเป็นพ่อทูนหัวให้เธอได้หรือไม่ สุดท้ายผู้กำกับคนดังก็ยอมตอบตกลง จนกระทั่งสปีลเบิร์กก็ได้ทำหน้าที่พ่อทูนหัวอย่างเต็มที่ ทั้งการอยู่กับเธอในช่วงสุดสัปดาห์ พาเธอไปท่องเที่ยวที่สวนสนุก ทั้ง Disneyland และ Knott’s Berry Farm

อีกความน่ารักที่แบร์รีมอร์เล่าถึงพ่อทูนหัวในบทสัมภาษณ์นี้ก็คือ เธอเล่าถึงช่วงเวลาที่สปีลเบิร์กกำลังกำกับหนัง ‘E.T.’ เขามีความต้องการที่จะรักษาจินตนาการของเหล่าบรรดาเด็ก ๆ เอาไว้ เขาจึงไม่ต้องการจะทำลายและความมหัศจรรย์ของภาพยนตร์ ด้วยการพยายามเก็บความลับไม่ให้เด็ก ๆ รู้ว่าอีทีไม่ใช่เอเลี่ยนจริง ๆ แต่เป็นหุ่นที่มีคนคอยควบคุมอยู่เบื้องหลัง

แต่ 2-3 สัปดาห์หลังเปิดกล้อง ก็เป็นดรูว์นี่แหละที่แอบเห็นคนควบคุมหุ่นอีทีอยู่ข้างหลังจนได้ ทำให้สปีลเบิร์กถึงกับไล่คนที่อยู่เบื้องหลังออกไป เธออ้างคำพูดของสปีลเบิร์กว่า “ผมไม่อยากทำลายจินตนาการ ผมเลยบอกแบบง่าย ๆ ว่า อีทีเป็นสิ่งมหัศจรรย์ แต่อีทีมีคนช่วยควบคุมอยู่ 8 คน ส่วนผมเป็นผู้กำกับมีอยู่คนเดียว” ก่อนที่เธอจะเล่าว่า สปีลเบิร์กได้สั่งให้มีผู้ช่วยควบคุมอีทีเหลือเพียงแค่ 2-3 คนเพื่อไม่ให้จินตนาการของเด็ก ๆ ถูกทำลาย เวลากลางวัน แบร์รีมอร์จะนั่งรับประทานอาหารกลางวันกับหุ่นอีที และบางครั้งเธอก็แอบเล่าความลับของเธอเองให้เจ้าอีทีฟังด้วย

นอกจากนี้ สปีลเบิร์กยังได้ให้แมวกับเธอตัวหนึ่ง ซึ่งเธอตั้งชื่อตามตัวละครของเธอเองว่า เกอร์ตี้ (Gertie) และไม่ได้มีแค่มุมน่ารัก แต่มีมุมเข้ม ๆ ด้วยเหมือนกัน เพราะวันหนึ่งเธอทาลิปสติกสีแดง เดินเข้าไปยังออฟฟิศของสปีลเบิร์ก เธอจึงโดนพ่อทูนหัวดุ ไล่ให้เธอไปเช็ดลิปสติกออก

แบร์รีมอร์อ้างถึงคำพูดของสปีลเบิร์กที่เคยบอกกับเธออีกว่า “เธอควรได้เวลานอนมากกว่าที่ควรจะนอน ได้ไปในสถานที่ที่เธอควรจะได้ไป และได้ใช้ชีวิตในวัยเยาว์ ฉันคิดว่าฉันนี่แหละที่เป็นคนหนึ่งที่พรากวัยเด็กของเธอไป แต่ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน เพราะฉันไม่ใช่พ่อของเธอนี่นา ฉันเป็นได้แค่ผู้สมรู้ร่วมคิดกับเธอเท่านั้นเอง”

และอย่างที่ทราบกันดีว่า หลังจากที่ ‘E.T. the Extra-Terrestrial’ เข้าฉาย ความน่ารักของหนูน้อยแบร์รีมอร์ ก็กลายเป็นเสน่ห์ที่ผู้ชมจดจำบทบาทเกอร์ตี้ เทย์เลอร์ จากในหนังได้เป็นอย่างดี จนกลายเป็นดาราเด็กเนื้อหอมที่ถูกเรียกตัวไปแสดงหนังอย่างต่อเนื่อง

แต่นั่นก็นับเป็นความสำเร็จเพียงแค่เบื้องหน้าเท่านั้น เพราะเบื้องหลังของเธอคือครอบครัวที่บิดเบี้ยวและไร้ซึ่งความอบอุ่น เธอเล่าในบทสัมภาษณ์ว่า ความทรงจำแรกในวัยเด็กที่มีต่อ จอห์น ดรูว์ แบร์รีมอร์ (John Drew Barrymore) พ่อของเธอก็คือตอนที่เธออายุได้ 3 ขวบ เธอเห็นพ่อผู้มีอาชีพนักแสดงที่มีชื่อเสียงระดับกลาง ๆ เป็นคนติดสุรา และชอบใช้ความรุนแรง เธอเคยถูกเขาจับเหวี่ยงเข้ากับกำแพง และจับมือเธอไปอังกับเปลวเทียน แล้วพร่ำบอกเธอว่าความเจ็บปวดเป็นเพียงจินตนาการ

ส่วนแม่ของเธอ เจด แบร์รีมอร์ (Jaid Barrymore) ก็เป็นแม่ที่ไม่มีความพร้อมในการเลี้ยงลูก แถมยังเลี้ยงลูกด้วยวิธีการผิด ๆ เพราะเห็นแก่เงิน หลังจากที่พ่อแม่หย่ากัน เจดที่ได้สิทธิ์ในการดูแลลูก จึงมักพาแบร์รีมอร์ออกไปเที่ยวปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง แถมยังบอกกับเธอว่าไม่ต้องมัวแต่เสียเวลาเรียนหนังสือ เพราะลำพังเธอเป็นนักแสดงก็สามารถหาเงินได้มากกว่านั้นอีก

Drew Barrymore Steven Spielberg E.T. the Extra-Terrestrial

แบร์รีมอร์กลายเป็นคนติดแอลกอฮอล์ทุกชนิดตั้งแต่วัยยังไม่ทันแรกรุ่น เธอเคยเล่าไว้ในหนังสือชีวประวัติ ‘Little Girl Lost’ ที่ตีพิมพ์ในปี 1990 ว่า แอลกอฮอล์ชนิดแรกที่เธอเริ่มดื่มคือ แชมเปญในงานปาร์ตี้ปิดกล้องหนัง ‘Firestarter’ (1984) เมื่อตอนได้อายุ 8 ขวบ เริ่มดื่มเบียร์เป็นตั้งแต่ตอนอายุ 9 ขวบ และเริ่มเสพโคเคนเมื่อตอนอายุได้ 12 ปี และด้วยสภาพแวดล้อมอันเลวร้าย สตูดิโอจึงสั่งให้แม่ของเธอพาเข้าไปบำบัดยาเสพติดอยู่นานถึง 18 เดือน เธอเปิดเผยกับนิตยสาร People ในปี 1989 ว่า เธอเคยมีประวัติทั้งติดแอลกอฮอล์ โคเคน และกัญชา

แม้พรสวรรค์ด้านการแสดงของเธอจะช่วยค้ำยันให้สตูดิโอยังคงเสนองานให้เธออยู่เรื่อย ๆ แต่ภาพลักษณ์ของแบร์รีมอร์ก็ใช่ว่าจะดีนัก เธอกลายเป็นที่หมายหัวของสตูดิโอ ส่วนภาพลักษณ์ต่อแฟน ๆ เธอกลายเป็นวัยรุ่นหัวขบถ ในวัย 14 ปี แบร์รีมอร์ต้องเข้ารับการรักษาอาการทางจิต เนื่องจากเธอเคยพยายามฆ่าตัวตายหลายต่อหลายครั้ง เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอยื่นคำร้องขอเป็นอิสระจากแม่ของเธอ เป็นผลทำให้เธอสลัดออกมาจากความดูแลของแม่ได้สำเร็จในวัย 15 ปี

แม้สาวน้อยแบร์รีมอร์ จะพ้นจากสภาพแวดล้อมโหดร้าย และแม่ของเธอมาได้ และเคยไปอาศัยอยู่กับ เดวิด ครอสบี (David Crosby) ฟรอนต์แมนของวงดนตรีร็อกอเมริกัน The Byrds ที่ตัดสินใจรับหน้าที่เป็นครอบครัวอุปถัมภ์ให้กับเธอ แต่สุดท้ายเธอก็ขอทำเรื่องยื่นคำร้องขอเป็นอิสระออกมาจากครอบครัวใหม่อีก

แบร์รีมอร์ในเวลานั้นแม้จะพยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการพยายามบำบัดยาเสพติดและดูแลตัวเองมากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีภาพลักษณ์ของนักแสดงวัยรุ่นหัวขบถที่เริ่มผันตัวไปรับงานแสดงแนวเซ็กซี่ ที่ถือว่าทำได้ในระดับพอควร พอถึงอายุ 17 ปี เธอก็ตัดสินใจถ่ายภาพนู้ดลงนิตยสาร Interview ฉบับเดือนกรกฎาคม ปี 1992

พอเข้าปี 1995 ตอนอายุครบ 20 ปี เธอก็ไปถ่ายรูปลงนิตยสาร Playboy ซึ่งทำให้พ่อทูนหัวอย่างสปีลเบิร์กถึงกับหัวเสีย สั่งให้ฝ่ายศิลป์ของบริษัทรีทัชภาพเธอจากนิตยสารที่ใส่เสื้อผ้ามิดชิด ก่อนส่งสำเนาภาพเหล่านั้นไปให้เธอ พร้อมกับผ้าคลุมเป็นของขวัญ พร้อมกับโน้ดสั้น ๆ ว่า “เอาไว้ห่มตัวเองเถอะ”

Drew Barrymore Steven Spielberg E.T. the Extra-Terrestrial

ปลายยุค 90s แบร์รีมอร์เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง และกลายมาเป็นนักแสดงหนังรอมคอมอีกหลายเรื่อง ที่ดัง ๆ ก็เช่น ‘The Wedding Singer’ (1998) ที่ทำรายได้และคำวิจารณ์อย่างงดงาม พอเข้าปี 2000 เธอก็กลับมาโด่งดังอีกครั้งกับหนังแอ็กชัน ‘Charlie’s Angels’ (2000) ร่วมกับ คาเมรอน ดิแอซ (Cameron Diaz) และ ลูซี ลิว (Lucy Liu) ที่ประสบความสำเร็จดังเปรี้ยงจนกลายเป็นภาพจำของนางฟ้าชาร์ลีไปแล้ว

หลังจากนั้น แบร์รีมอร์ก็ประสบกับความรักที่ล้มเหลวถึง 2 ครั้ง เธอกลายเป็นแม่ของลูกสาว 2 คน และแม้ปัจจุบันแบร์รีมอร์ไม่ค่อยมีผลงานการแสดงใหม่ ๆ ออกมาให้เห็นมากมายนัก แบร์รีมอร์ในปัจจุบันหันไปทำงานหลากหลายด้าน ทั้ง การเป็นนักเขียนหนังสือ โปรดิวเซอร์ นักธุรกิจ รวมทั้งยังรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ และพิธีกรรายการ ‘The Drew Barrymore Show’ ทางสถานีโทรทัศน์ CBS ที่ยังคงออกอากาศอยู่

และผ่านพ้นชีวิตที่แสนตกต่ำที่เธอเคยเผชิญในวัยเด็กมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งส่วนหนึ่งก็ต้องยกเครดิตให้กับสปีลเบิร์กในฐานะพ่อทูนหัว ที่ทำหน้าที่ผู้ปกครองให้กับเธออยู่ห่าง ๆ และยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน


ที่มา: Vulture, Daily Mail, Los Angeles Times, Variety, Wikipedia