ในปี 1991 Red Hot Chili Peppers ได้เปิดตัวอัลบั้มสุดล้ำ ‘Blood Sugar Sex Magik’ สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 5 ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงและได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลาม อัลบั้มนี้ขายได้ 7 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา และมีเพลงฮิตอย่าง “Under the Bridge,” “Give It Away” และ “Suck My Kiss” อัลบั้มนี้ขับเคลื่อนวงไปสู่ความสำเร็จในกระแสหลักและทำให้สถานะของพวกเขาแข็งแกร่งในฐานะวงอัลเทอร์เนทีฟร็อกชั้นนำวงหนึ่งในยุคนั้น และกลายเป็นส่วนสำคัญในกระแสอัลเทอร์เนทีฟร็อกที่ดังระเบิดในช่วงต้นทศวรรษที่ 90s งานกีตาร์ของ ‘จอห์น ฟรัสซิแอนเต’ (John Frusciante) ในอัลบั้มนี้เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งมีการผสมผสานองค์ประกอบของดนตรีแนวฟังก์ ร็อก และไซเคเดลิก

แต่หลังจากเปิดตัว Blood Sugar Sex Magik ได้ไม่นาน ฟรัสซิแอนเตต้องต่อสู้กับปัญหาส่วนตัวและการติดยา ซึ่งทำให้เขาออกจากวงในปี 1992 จากนั้น ‘เดฟ นาวาร์โร’ (Dave Navarro) ได้เข้ามาแทนที่ และนำองค์ประกอบของดนตรีเฮฟวีเมทัลและไซเคเดลิกร็อกมารวมไว้ในอัลบั้ม ‘One Hot Minute’ ของวงในปี 1995 แต่อัลบั้มนี้ก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับความสำเร็จที่ได้รับทั้งจากเสียงวิจารณ์และยอดขายของอัลบั้มก่อนได้ จากนั้นนาวาร์โรได้ออกจากวงไปในปี 1998

ในช่วงหลายปีหลังออกจากวง ฟรัสซิแอนเตติดทั้งเฮโรอีนและโคเคน มีชีวิตที่ยากไร้ จนความตายใกล้จะมาเยือน เพื่อน ๆ โน้มน้าวให้ฟรัสซิแอนเตเข้ารับการบำบัดยาเสพติด และในปี 1998 เขาได้กลับเข้าร่วมวง Red Hot Chili Peppers อีกครั้งจากการตามตื้อของมือเบส ‘ฟลี’ (Flea) ในขณะที่อยู่ในสถานบำบัดฟรัสซิแอนเตครุ่นคิดอย่างมากเกี่ยวกับการเป็นร็อกสตาร์ ในการสัมภาษณ์กับโรลลิงสโตน เขากล่าวว่า “มันแว่วเข้ามาในหัวของผมว่าความเป็นคนดังนั้นเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย ถ้าคุณเป็นร็อกสตาร์ คุณกำลังพยายามยัดเยียดผู้คน แต่ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้วล่ะ”

หลังจากฟรัสซิแอนเตได้เคลียร์ตัวเองและสานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมวงอีกครั้ง ช่วงปลายทศวรรษที่ 90s จึงถือเป็นการกลับมาอย่างมีชัยของทั้งวงและฟรัสซิแอนเตที่ได้เข้าร่วมวง Red Hot Chili Peppers อีกครั้ง ในปี 1998 จากนั้นวงก็ได้ออกสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 7 “Californication” ในปี 1999 อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จอย่าล้นหลามได้ทั้งเงินได้ทั้งกล่อง ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตของหลายประเทศ มีซิงเกิลฮิตอย่าง “Scar Tissue,” “Around The World”, “Otherside” และไตเติลแทร็ก “Californication”

“Californication” นำเสนอเสียงที่ไพเราะและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นสำหรับวง โดยผสมผสานแนวดนตรีฟังก์และร็อกเข้ากับเนื้อเพลงที่มีความครุ่นคิดและดนตรีที่ละเอียดอ่อน การเล่นกีตาร์ของฟรัสซิแอนเตมีส่วนสำคัญในการสร้างซาวด์ของอัลบั้ม โดยงานกีตาร์ที่สร้างอารมณ์และบรรยากาศของเขาได้กลายเป็นลักษณะเฉพาะในดนตรีของ Red Hot Chili Peppers

ความสำเร็จของ “Californication” เป็นจุดเปลี่ยนสำหรับทั้งวงและฟรัสซิแอนเต มันตอกย้ำตำแหน่งของพวกเขาในฐานะวงดนตรีร็อกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดวงหนึ่งในช่วงปลายยุค 90s และต้นยุค 2000s และการกลับมาของฟรัสซิแอนเตก็นำพลังสร้างสรรค์มาสู่วงอีกครั้ง เขายังคงเป็นสมาชิกคนสำคัญของวงโดยมีส่วนทำให้เกิดอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จตามมาอย่าง “By the Way” (2002) และ “Stadium Arcadium” (2006)

Red Hot Chili Peppers

กว่าจะเป็น ‘Californication’

Red Hot Chili Peppers ทั้ง 4  แอนโทนี คีดิส (Anthony Kiedis) นักร้องนำ, จอห์น ฟรัสซิแอนเต มือกีตาร์, ฟลี มือเบส และแชด สมิธ (Chad Smith) มือกลอง ได้ร่วมมือกันสร้างสรรค์เพลงในอัลบั้ม โดยได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ส่วนตัว อารมณ์ และเคมีทางดนตรี ฟรัสซิแอนเตมีบทบาทสำคัญในการสร้างสุ้มเสียงของอัลบั้มนี้ โดยใช้ทักษะกีตาร์ของเขาเพื่อสร้างเสียงที่เป็นเอกลักษณ์และไพเราะ ซึ่งกลายเป็นลักษณะเฉพาะของซาวด์ในอัลบั้ม ‘Californication

ในตอนแรกฟลีแนะนำให้เพื่อน ๆ ลองทำงานเพลงที่มีอิทธิพลทางดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ คล้ายกับอัลบั้ม ‘Zooropa’ ของวง U2 ทางวงเลยลองทาบทามโปรดิวเซอร์หลายรายที่เชี่ยวชาญด้านดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ (รวมถึงเดวิด โบวี (David Bowie) ด้วย) เมื่อถูกปฏิเสธทั้งหมด พวกเขาจึงตัดสินใจหันไปทางแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อกแทนโดยย้อนกลับไปที่รากเหง้าของวง

Red Hot Chili Peppers จึงทาบทาม ‘ริค รูบิน’ (Rick Rubin) ที่เคยร่วมงานกับวงใน 2 อัลบั้มก่อนหน้านี้และได้สร้างผลงานอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอย่าง “Blood Sugar Sex Magik” ให้มาเป็นโปรดิวเซอร์ต่ออีกครั้ง และบันทึกเสียงกันที่ Cello Studios ในลอสแองเจลิส ซึ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่สร้างสรรค์และผ่อนคลายสำหรับวงดนตรี สิ่งนี้ทำให้พวกเขาสามารถทดลองและพัฒนาความคิดได้อย่างอิสระ และใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์กว่า ๆ จึงจะเสร็จสมบูรณ์ ตอนแรกคีดิสมีความลังเลใจที่จะร่วมงานกับรูบินอีกครั้งแต่สุดท้ายแล้วก็คิดว่าคงไม่มีใครเหมาะไปกว่านี้แล้วล่ะ “เราคิดว่าบางทีอาจถึงเวลาหาโปรดิวเซอร์คนใหม่แล้ว ทุกครั้งที่คุณทำเพลง มันไม่สำคัญหรอกว่าการทำงานกับโปรดิวเซอร์จะดีแค่ไหน และแม้คุณจะรู้ว่าสุดท้ายจะต้องลงเอยด้วยการทำเพลงกับคนเดิมคนนั้นอีกครั้ง มันก็มักจะมีวันหนึ่งที่คิดว่า ‘เราต้องการโปรดิวเซอร์คนใหม่หรือเปล่านะ'”

แนวทางการโปรดิวซ์ของรูบินนั้นเน้นไปที่การจับพลังงานดิบของวงและไดนามิกในการเล่นกันแบบสด ๆ  โดยให้ความสำคัญกับเคมีที่เป็นธรรมชาติของวง รักษาเอกลักษณ์ในสไตล์ของวงแต่ได้เติมแต่งสีสันให้เข้าถึงผู้ฟังในวงกว้างมากขึ้น สมาชิกในวงมักจะเริ่มด้วยการแจมและด้นสดด้วยกัน จากนั้นจึงค่อย ๆ วางโครงสร้างและเรียบเรียงรายละเอียดดนตรีตามพาร์ตของแต่ละคน จากนั้นคีดิสก็จะเขียนเนื้อเพลงเพื่อสอดรับกับดนตรี โดยดึงมาจากประสบการณ์ส่วนตัว และมุมมองของเขา เนื้อเพลงที่ชวนครุ่นคิดและกระตุ้นอารมณ์ได้เพิ่มความลึกให้กับธีมโดยรวมของอัลบั้ม นอกจากนี้ความกล้าที่จะทดลองและรับความเสี่ยงของวงเป็นส่วนสำคัญของการสร้างสรรค์อัลบั้ม “Californication” ที่ผสมผสานแนวดนตรีที่หลากหลาย ตั้งแต่อัลเทอร์เนทีฟร็อกไปจนถึงฟังก์ และผสมผสานองค์ประกอบที่ไพเราะและน่าค้นหามากขึ้น สิ่งนี้ทำให้อัลบั้มมีบทเพลงที่หลากหลายในขณะที่ยังคงรักษาสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ของ Red Hot Chili Peppers

การบันทึกเสียงอัลบั้ม ‘Californication’

การบันทึกเสียงใช้เวลา 5 วัน สมาชิกในวงทั้ง 4 คนบันทึกเสียงตามเครื่องดนตรีของตัวเองพร้อมกันในห้องเดียวกัน รูบินและจิม สก็อตต์ (Jim Scott) ซาวด์เอ็นจิเนียร์ต้องการให้เสียง “แห้งและหนักแน่น” จึงวางไมโครโฟนจำนวนมากไว้ข้าง ๆ เครื่องดนตรีโดยตรง และไมโครโฟนที่ใช้ ได้แก่ Shure SM57s, Neumann U47s และ Sennheiser MD 421s  บันทึกโดยใช้ Neve 8038 desk บนเครื่องบันทึกเทป Ampex 124 24-track 2 เครื่อง  เมื่อบันทึกเสียงเสร็จแล้ว แทร็กจากเครื่อง Ampex จะถูกถ่ายโอนไปยัง Pro Tools และดำเนินการต่อเพื่อให้อัลบั้มนี้ฟังดู “แห้งและหนักแน่น” อย่างที่ต้องการ ซาวด์ส่วนใหญ่ของ Californication ถูกมิกซ์โดยใช้เสียงโมโน สก็อตต์รู้สึกว่าวงบันทึกเสียงมาดีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมากในช่วงมิกซ์ นอกจากนี้อัลบั้มนี้ยังมิกซ์แยกกันในรูปแบบดิจิตอลต่าง ๆ (รวมถึง Digital Audio Tape และ DA-88) เพื่อเปรียบเทียบเสียงในแต่ละแบบ และในที่สุดสก็อตต์ก็ตัดสินใจใช้ analog 2‑track ที่ 30 นิ้วต่อวินาที

เพลงหลายเพลงมีการใช้ชื่ออื่นในตอนที่แต่งขึ้นมาและเข้าสู่กระบวนการบันทึกเสียง เช่น All Around the World (“Around the World”), Universe (“Parallel Universe”), Dirt (“I Like Dirt”), Porcelain Alice ( ” Porcelain “), Right On (“Get on Top”) How Strong is My Love ?  (“How Strong”), New Wave Song (“Quixoticelixer”), These are Not My Dreams of Bunker Hill, Dreams from Bunker Hill (“Bunker Hill”) และ Blondie (“Instrumental #2”)

เพลงเด่น ๆ โดน ๆ

เนื้อหาและเนื้อเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มมาจาก ‘ความวุ่นวายในชีวิตส่วนตัวและอาชีพ’ ที่สมาชิกหลายคนในวงประสบหรือกำลังประสบอยู่ในขณะนั้น สิ่งนี้ส่งผลให้เกิด ‘วิธีการที่ละเอียดอ่อนซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดจากวงดนตรีที่มีผู้ติดตามเป็นพวกเด็กบอร์ดหรือชาวสเก็ตพังก์’ ประเด็นหลักที่คีดิสอยากสื่อสารผ่านอัลบั้มนี้ก็คือ ‘การบอกเล่าเรื่องราวของวิญญาณเร่ร่อนที่หลงทางเพื่อค้นหาความฝันแบบอเมริกันในแคลิฟอร์เนีย’

เนื้อเพลงในบทเพลงทั้งหลายของอัลบั้ม ‘Californication’ ได้มาจากแนวคิด มุมมอง และการรับรู้เกี่ยวกับชีวิตและความหมายของคีดิส อย่างในเพลง “Porcelain” มีที่มาจากการที่คีดิสได้พบกับแม่เลี้ยงเดี่ยววัยสาวที่ YMCA ซึ่งพยายามต่อสู้กับการติดเฮโรอีนของเธอในขณะที่อาศัยอยู่กับลูกสาววัยทารกในลอสแองเจลิสในช่วงฤดูร้อน 1998 คีดิสพูดถึงการพบกันในครั้งนั้นที่เป็นแรงบันดาลใจของเพลงนี้ว่า “คุณแม่วัยสาวคนนั้นอยู่ในท่าทีที่สับสนและมีอาการติดเฮโรอีนอย่างหนัก แต่สาวน้อยตัวเล็ก ๆ คนนี้กลับเปล่งประกายสว่างไสวราวกับนางฟ้า ผู้หญิงคนนี้รักลูกสาวของเธอ พลังของเธอทั้งคู่ลึกซึ้งมาก” อีกหนึ่งเรื่องราวดี ๆ ที่ส่งผลต่อบทเพลงในอัลบั้มเกิดจากความรักใน โยฮันนา โลแกน (Yohanna Logan) นักออกแบบแฟชั่นที่คีดิสพบขณะที่เธอทำงานในนครนิวยอร์ก ความรู้สึกดี ๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มีอิทธิพลต่อการสำรวจประเด็นเรื่องความรักทั่วทั้งอัลบั้ม ‘Califonication’ เช่นในเพลง “This Velvet Glove” ส่วนฟรัสซิแอนเตก็หาอะไรที่แปลกใหม่เล่นไปบนสายกีตาร์ซึ่งมันถูกถ่ายทอดออกมาผ่านบทเพลงอย่าง “Scar Tissue” ซึ่งฟรัสซิแอนเตพยายามใช้โน้ต 2 ตัวที่เล่นห่างกัน ให้สร้าง ‘จังหวะที่เจ๋ง’ขึ้นมาได้  นอกจากนี้ฟรัสซิแอนเตยังใช้ประโยชน์จากการเล่นกีตาร์สไลด์เพื่อโซโลในเพลง “Emit Remmus” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความสัมพันธ์สั้น ๆ ของคีดิสกับเมลานี ซี (Melanie C) แห่ง Spice Girls

Red Hot Chili Peppers ตัดสินใจปล่อยเพลง “Scar Tissue” เป็นซิงเกิลนำจากอัลบั้ม ‘Californication’ ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด เพราะหลังจากที่เปิดตัวเพลงในเดือนพฤษภาคม 1999เพลงนี้ก็ได้รับแรงผลักดันอย่างรวดเร็วและทำให้วงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง

“Scar Tissue” เป็นเพลงที่ไพเราะและให้แง่คิด มีการผสมผสานเนื้อเพลงที่กินใจเข้ากับท่อนฮุกที่ติดหู นำเสนอสไตล์กีตาร์ที่โดดเด่นของฟรัสซิแอนเต เพลงนี้โดนใจผู้ฟังมาก ๆ สร้างความสมดุลระหว่างความเป็นร็อกกับวุฒิภาวะทางดนตรีที่พัฒนาขึ้น เนื้อเพลงที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ พูดถึงการต่อสู้ส่วนตัวและการเอาชนะความทุกข์ยาก สร้างความประทับใจให้กับแฟน ๆ และเพิ่มเสน่ห์ให้กับเพลงนี้

การตอบรับของ “Scar Tissue” จากสถานีวิทยุและผู้ฟังเป็นไปในเชิงบวกอย่างท่วมท้น ทำให้การกลับมาของ Red Hot Chili Peppers แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซิงเกิลนี้ขึ้นชาร์ต ได้รับการออกอากาศอย่างแพร่หลายและได้รับความสนใจจากทั้งแฟนเพลงที่รู้จักกันมานานและผู้ฟังหน้าใหม่ ความสำเร็จนี้นำไปสู่การเปิดตัวอัลบั้มเต็ม “Californication” สร้างความคาดหวังและความตื่นเต้นในหมู่แฟน ๆ

หลังจากความสำเร็จของ “Scar Tissue” Red Hot Chili Peppers เลือก “Around the World” เป็นซิงเกิลถัดไป เพลงนี้นำเสนอเสียงที่เต็มไปด้วยพลังและความฟังก์ของวง “Around the World” แต่งขึ้นโดยฟรัสซิแอนเตที่บ้านของเขา แต่ด้วยการที่เพลงมีการเน้นจังหวะดาวน์บีตที่อาจทำให้หลุดจังหวะได้ง่าย ทำให้เขาต้องเล่นเพลงนี้กับเพื่อนคนอื่น ๆ ในวงเพื่อช่วยเล่นในส่วนของริทึ่ม สมิธเลยเล่นไฮแฮทเพื่อกำกับจังหวะและฟรัสซิแอนเตก็เล่นไปบนจังหวะนั้น จากนั้นฟลีก็เข้ามาแต่งเติมไลน์เบสของเขาที่ใช้เวลาแต่งแค่เพียง 15 นาที ซึ่งฟรัสซิแอนเตบอกเลยว่า “ฟลีนั้นเป็นผู้เล่นเบสที่ดีที่สุดในโลก จังหวะและวิธีคิดของเขาบ้ามาก” ส่วนในเนื้อเพลงนั้นคีดิสบอกว่าเนื้อเพลงในท่อนต่าง ๆ นั้นเขากำลังเล่าถึงการเดินทางและประสบการณ์ของเขาที่มีต่อการเป็นสมาชิกวง Red Hot Chili Peppers และการใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยง นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่อง ‘Life Is Beautiful’ ของ โรเบร์โต เบนิญี (Roberto Benigni) ยังเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้อีกด้วย

ส่วนท่อนฮุกสุดท้ายที่ต่างออกไปนั้นมาจากคำขอของลูกสาวของฟลี ในตอนที่พวกเขากำลังทำเพลงกันอยู่ที่โรงรถของฟลี ลูกสาวของเขาก็เข้ามาฟังเพลงที่พ่อและเพื่อน ๆ กำลังทำกันอยู่ ตอนนั้นคีดิสกำลังมึนตึ๊บกับเนื้อเพลงว่าจะเล่าอะไรดีก็เลยได้แต่ร้อง scat ด้นสดไปเรื่อย ๆ ก่อนซึ่งเป็นที่ประทับใจลูกสาวของฟลีมาก จนเมื่อไฟนอลดราฟต์ของอัลบั้มเสร็จแล้ว ลูกสาวของฟลีก็ได้มาฟังเวอร์ชันไฟนอลอีกครั้ง ตอนนั้นเธอรู้สึกเฟลมากเลยที่ท่อนร้อง scat นั้นมันหายไป ดังนั้นในไฟนอลเวอร์ชันในท่อนฮุกสุดท้าย ก็เลยมีการเอาท่อน scat ที่คีดิสร้องไว้มาใส่แทน

 “Around the World” ทำให้วงได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก เพราะเพลงนี้มีการผสมผสานเอกลักษณ์ของดนตรีร็อกและฟังก์ ริฟฟ์กีตาร์, กลองและเบสที่มีไดนามิก และเสียงร้องที่มีชีวิตชีวาของคีดิส ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงที่โดดเด่นในอัลบั้ม แสดงให้เห็นความสามารถของวงในการสร้างสรรค์เพลงที่ทั้งน่าสนใจทางดนตรีและดึงดูดใจในเชิงพาณิชย์ “Around the World” แสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจทางดนตรีของวงและความสามารถของพวกเขาในการสร้างเพลงที่ฮิตติดชาร์ตได้และในขณะเดียวกันก็มีชั้นเชิงไปพร้อม ๆ กัน

เผยด้านมืดของ ‘แคลิฟอร์เนีย’

ต่อมาก็ถึงเพลงเอกของอัลบั้มที่เป็นไตเติลแทร็กด้วยนั่นก็คือ “Californication” เพลงที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเพลงฮิตที่สุดตลอดกาลของ Red Hot Chili Peppers และเป็นหนึ่งในเพลงที่ถูกนำมาแสดงสดในโชว์บ่อยที่สุด มีโชว์ที่ไหนต้องมีเพลงนี้ที่นั่น เพลงนี้จึงเป็นเพลงที่วงเล่นบ่อยที่สุดเป็นอันดับ 3 โดยเล่นไปแล้วกว่า 500 โชว์

ความสำคัญประการหนึ่งของเพลง “Californication” ที่ทำให้เพลงนี้มีความแตกต่างจากเพลงอื่น ๆ ที่พูดถึงแคลิฟอร์เนียก็คือ มันเป็นเพลงที่พูดถึง ‘ด้านมืด’ ของแดนสวาทหาดสวรรค์แห่งนี้ เป็นการพูดว่าวิถีชีวิตของชาวแคลิฟอร์เนียและภาพลักษณ์ที่คนภายนอกได้เห็นหรือเข้าใจเช่น การเป็นดินแดนอันสวยงามเหมาะแก่การพักผ่อน หาดทรายสวย สาวเซ็กซี่ ชีวีมีสุข และรุ่งเรืองไปด้วยอุตสาหกรรมบันเทิงและภาพยนตร์ นั้นมันเป็นเพียงแค่ ‘มายาคติ’ หรือ ‘มายาภาพ’ ที่ถูกประกอบสร้างผ่านสื่อทั้งหลาย เช่น บทเพลงของวง Beach Boys ซึ่งคำว่า ‘Californication’ ก็หมายถึงการถูกทำให้มันมีความเป็น ‘แคลิฟอร์เนีย’ ในแบบที่เรา ๆ เข้าใจนั่นเอง

ในเนื้อเพลงของเพลงนี้จึงมีการอ้างอิงถึงหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ถูกมองว่ามีความ ‘จอมปลอม’ และซุกซ่อนสิ่งที่ไม่น่าพิสมัยเอาไว้มากมาย เริ่มต้นที่ท่อนแรกที่ร้องว่า “Psychic spies from China try to steal your mind’s elation.” ซึ่งสามารถตีความได้ว่าเป็นการเปรียบเปรยถึงอิทธิพลของสื่อและอุตสาหกรรมบันเทิงที่พยายามควบคุมและจัดการกับอารมณ์และความคิดของผู้คน

หรือในท่อนร้องที่ 2 ที่ร้องว่า “It’s the edge of the world and all of Western civilization” ก็เป็นการเน้นย้ำเชิงเสียดสีถึงชื่อเสียงของรัฐแคลิฟอร์เนียในฐานะผู้นำเทรนด์ทางวัฒนธรรมและสังคม คำว่า “Californication” นั้นสื่อถึงกระบวนการบิดเบือนความเป็นจริง เป็นการขายฝัน ที่แสดงให้เห็นอิทธิพลที่ท่วมท้นของฮอลลีวูดและอุตสาหกรรมบันเทิงในการสร้างการรับรู้และสร้างภาพในอุดมคติ

ในท่อนเปิดของฮุกที่ร้องว่า “”First-born unicorn / Hardcore soft porn.” ก็เป็นการสะท้อนถึงความหลงใหลในรูปลักษณ์ภายนอก เป็นการวิพากษ์กระบวนการสร้างภาพของความงามและเรื่องเพศในวงการบันเทิง และท่อน “”Dream of Californication” ก็คือการเน้นย้ำถึงการที่ผู้คนต่างแสวงหาความสมบูรณ์แบบและภาพฝันในอุดมคติของแคลิฟอร์เนียที่เกิดขึ้นจากการประกอบสร้างขึ้นมานั่นเอง

นอกจากนี้ในเพลงยังมีการอ้างอิงถึงสิ่งต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นสื่อลามก (“hardcore soft porn”) การทำศัลยกรรมพลาสติก (“pay your surgeon very well to break the spell of aging”) และแม้แต่การอ้างอิงถึงไอคอนแห่งวงการดนตรีอย่าง เคิร์ต โคเบน​ (Kurt Kobain) (“Cobain, can you hear the spheres singing songs off Station to Station?” ซึ่งคำว่า ‘spheres’ ในท่อนนี้เป็นการอ้างอิงถึง Music of the Spheres ซึ่งเป็นแนวคิดทางปรัชญาโบราณที่ถือว่าสัดส่วนในการเคลื่อนที่ของเทหะวัตถุบนฟากฟ้าเป็นรูปแบบหนึ่งของดนตรี) นอกจากนี้ยังมีการอ้างอิงถึงวง Beach Boys หนึ่งในวงดนตรีที่สร้างภาพอันงดงามให้กับแคลิฟอร์เนียด้วย (“They’re just another Good Vibration”) ภาพยนตร์ก็เป็นส่วนหนึ่งของการอ้างอิงอย่าง Star Wars (“and Alderaan’s not far away”) และ Star Trek (“Space may be the final frontier but it’s made in a Hollywood basement”) นอกจากนี้ยังมีการอ้างอิงถึงบุคคลจริงที่ต้องพบกับเหตุที่น่าเศร้าอย่าง โดโรธี สตราตัน (Dorothy Stratton) และ ชารอน เทต (Sharon Tate) ที่พบกับจุดจบก่อนวัยอันควร ซึ่งการอ้างอิงเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงผลร้ายที่อาจมาพร้อมกับการแสวงหาชื่อเสียงและลักษณะการแสวงหาผลประโยชน์ของวงการบันเทิงนั่นเอง

ความสำเร็จของอัลบั้ม

‘Californication’ เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์มากที่สุดของ Red Hot Chili Peppers โดยมียอดขายมากกว่า 15 ล้านชุดทั่วโลก และมากกว่า 6 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกาเพียงแห่งเดียวในปี 2002 อัลบั้มนี้มียอดขายมากกว่า 4 ล้านชุดในยุโรป และได้สร้างเพลงฮิตมากมายให้กับวง รวมถึง “Around The World”, “Otherside”, “Californication” และ “Scar Tissue” ที่ได้รับรางวัลแกรมมี่อวอร์ด โดยไต่ขึ้นสูงสุดที่อันดับ 3 ใน US Billboard 200 นับว่าอัลบั้มนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบวงครั้งสำคัญ นอกจากยังคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานของวงแล้ว ‘Californication’ ได้ต่อเติม ‘ด้านที่นุ่มนวล สุขุม นุ่มลึกและไพเราะ’ ทั้งในด้านดนตรีและเนื้อหาของเพลงซึ่งแตกต่างจาก 6 อัลบั้มก่อนหน้าของพวกเขา และการเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าอัลบั้มนี้มีความสง่าและเปี่ยมไปด้วยคุณค่าเหนือกาลเวลาจริง ๆ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส