Deadline ได้รายงานว่า ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ ทำรายได้เปิดตัวสุดสัปดาห์แรก (30 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2023) ในสหรัฐฯ ไปเพียง 60 ล้านเหรียญ ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ในทีแรก

นอกจากนี้ยังเป็นอีกหนึ่งผลงานของ Lucasfilm ซึ่ง The Walt Disney Company เป็นเจ้าของ ที่มีเสี่ยงว่าจะทำเงินได้ไม่สูงมาก ภายหลังจากที่ ‘Solo: A Star Wars Story’ (2018) ประสบความล้มเหลวด้านรายได้ โดยทำไปเพียง 393 ล้านเหรียญทั่วโลก จากทุนสร้าง 300 ล้านเหรียญ

ในขณะนี้ The Walt Disney Company ยังภาพยนตร์ในปี 2023 อีก 2 เรื่อง ที่ทำรายได้อย่างน่าผิดหวัง นั่นคือ ‘Ant-Man and the Wasp: Quantumania’ ของ Marvel Studios ซึ่งทำรายได้ทั่วโลกไป 463 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญ และ ‘Elemental’ ของ Pixar ซึ่งทำรายได้ทั่วโลกจากการฉาย 2 สัปดาห์ไป 187 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญเช่นกัน

สำหรับรายได้รวมทั่วโลกในสุดสัปดาห์แรกของ ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ นั้น อยู่ที่ 152 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างระดับมหาศาลที่สูงถึง 329 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 11,600 ล้านบาท

Indiana Jones and the Dial of Destiny

‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ เป็นการผจญภัยครั้งสุดท้ายของ อินเดียนา โจนส์ นักผจญภัยชื่อดังในโลกภาพยนตร์ที่รับบทโดย แฮร์ริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford) มานานกว่า 4 ทศวรรษ โดยภาคล่าสุดนี้มีพื้นหลังอยู่ในยุคเริ่มแรกของการแข่งขันด้านอวกาศระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต อีกทั้งยังได้นักแสดง/ผู้อำนวยการสร้างหญิงเก่งอย่าง ฟีบี วอลเลอร์-บริดจ์ (Phoebe Waller-Bridge) จากซีรีส์ ‘Fleabag’ (2016 – 2019) มารับบทเป็นหลานสาวของโจนส์ นามว่า เฮเลนา ชอว์ (Helena Shaw)

หลายสื่อในต่างประเทศได้รายงานว่า หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ ไม่ประสบความสำเร็จในด้านรายได้เปิดตัวนั้น มาจากคำวิจารณ์ที่ไม่ดีนักบนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ที่อยู่ในระดับมะเขีอเน่า เพียงแค่ 63% และจาก CinemaScore ที่ได้ในระดับ B+

ด้วยรายได้เปิดตัวที่ไม่น่าประทับใจนัก อาจส่งผลทำให้แฟรนไชส์ ‘Indiana Jones’ นี้ไม่ได้ไปต่อในอนาคต ก็เป็นได้

ที่มา : ScreenRant , Box Office Mojo , The Numbers

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส