ก่อนที่ ไมเคิล เบย์ (Michael Bay) จะมีชื่อเสียงในฐานะผู้กำกับจอมระเบิดภูเขาเผากระท่อมนั้น เขาสั่งสมชื่อเสียงมาจาก งานกำกับมิวสิกวิดีโอ และโฆษณา โฆษณาตัวแรก ๆ ของเขาชื่อ ‘Got Milk?’ ปี 1993 เป็นโฆษณาที่ชาวอเมริกันแทบทุกครัวเรือนจดจำกันได้ดี ส่วนผลงานด้านมิวสิกวิดีโอนั้น เขาได้ทำให้กับ Meatloaf อยู่สองสามเพลงอย่างเช่น “Rock and Roll Dreams Come Through” “I Would Do Anything for Love” และ “Objects in the Rear View Mirror (May Appear Closer Than They Are)” และโด่งดังทุกเพลง นอกจากนั้นก็ยังมี “I Touch Myself” ของ Divinyls, “Can’t Get Enuff” ของ Winger, “Falling In Love (Is Hard on the Knees)” ของ Aerosmith และ “That You’ll Be” ของ Faith Hill ในช่วงนี้ล่ะ ที่เบย์ค่อย ๆ สร้างสไตล์เฉพาะตัวที่กลายเป็นเสมือนลายเซ็นในผลงานของเขา ทั้งในเรื่อง การตัดต่อภาพอย่างรวดเร็ว สีสันฉูดฉาด และการโชว์สรีระของสตรี

เมแกน ฟ็อกซ์ และ ไมเคิล เบย์

แม้ว่า ไมเคิล เบย์ จะมีผลงานกำกับที่ประสบความสำเร็จมากมาย แต่ทั้งนักวิจารณ์และผู้ชมหลายคนก็ชี้ว่า เบย์เก่งในด้านสไตลิสต์มากกว่านักเล่าเรื่อง เพราะผลงานของเขามักจะเต็มไปด้วยความวุ่นวายและเสียงดังเอะอะ และแน่นนอนครับ อัดแน่นไปด้วยระเบิดตูมตาม แต่กลับอ่อนด้อยในเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครและการเล่าเรื่องที่ต่อเนื่องกันอย่างราบรื่น แต่เบย์เลือกให้ความสำคัญกับความสวยงามของภาพเสียมาก เน้นในเรื่องภาพเหตุการณ์ทำลายล้างที่น่าตื่นตา พลังของกองทัพ แล้วเขายังให้ความสำคัญต่อภาพลักษณ์ของตัวละครหญิงอย่างมาก เบย์มักจะถ่ายทอดภาพของพวกเธอให้ออกมาเหมือนกับนางแบบบนแคตวอล์ก เขามักจะซูมภาพไปที่แต่ละส่วนบนเรือนร่างของพวกเธอ และถ่ายทอดภาพลักษณ์ของพวกเธอในแนวยั่วยวน อย่างฉากที่โดดเด่นมากจากหนัง ‘Transformers’ปี 2007 เป็นตอนที่ มิเคลา บทของ เมแกน ฟ็อกซ์ (Megan Fox) เอนตัวลงไปบนเครื่องยนต์หน้ารถ ซึ่งเบย์ถ่ายทอดฉากนี้จนออกมาเหมือนโฆษณาชุดชั้นใน

ในสารคดีเบื้องหลังการสร้าง ‘Transformers’เมแกน ฟ็อกซ์ เปิดเผยว่าเธอได้บท ‘มิเคลา’ หลังจากถูกเบย์สัมภาษณ์แค่ 2 คำถามและจบการสัมภาษณ์อย่างรวดเร็ว เบย์บอกกับเธอว่า บทนี้จะเน้นโชว์สรีระอย่างมาก อีกคนที่สัมภาษณ์บอกกับเธอว่าจะมีข้อกำหนดเรื่องเสื้อผ้าที่ใส่ในการแสดง

ในสารคดีเรื่องเดียวกันนี้ เบย์ก็ยอมรับตรง ๆ ว่าเหตุผลหลักที่เลือกฟ็อกซ์ก็เพราะ “ผมชอบเสน่ห์ดึงดูดของเธอ” ส่วนเหตุผลอื่น ๆ ก็พอใจที่ว่าเธอยังเป็นนักแสดงโนเนม ถ้าเขาทำให้เธอดังได้ เขาก็จะได้เครดิตในฐานะ “ผู้ค้นพบ” ตัวเธอ แม้ว่าฟ็อกซ์เองก็เข้าวงการแสดงมา 6 ปีแล้ว เธอยังเคยรับบทตัวประกอบใน ‘Bad Boys II’มาแล้ว ซึ่งก็เป็นหนังที่เบย์กำกับด้วยเช่นกัน แต่ก็ต้องถือว่า ‘Transformers’ เป็นหนังที่แจ้งเกิดเธอและทำให้เธอมีชื่อเสียงมาจนปัจจุบัน

“ตอนที่ฉันไปออดิชันอ่านบทให้ไมค์ดูนั้น เขาก็ถามแบบว่า ‘คุณวิ่งได้ไหม’ ฉันก็ตอบ ‘อืม ได้สิ ฉันคิดว่าวิ่งได้นะ’ อีกคำถามหนึ่งที่เขาถามฉันก็คือ ‘คุณมีหน้าท้องที่ดีไหม ?’ ฉันก็ตอบ ‘อืม ในความคิดฉัน ฉันคิดว่าดูดีนะ’ ตอนนั้นฉันก็ตีความไปประมาณว่า ฉันคงจะมีบทที่ต้องวิ่ง และหวังอย่างที่สุดคือไม่ต้องเปลือยกายวิ่งนะ แต่อาจจะต้องวิ่งในเสื้อเปิดโชว์หน้าท้องประมาณนั้น”

แล้วแฟน ๆ ‘Transformers’ก็ได้รู้คำตอบว่า ใช่อย่างที่ฟ็อกซ์คาดการณ์ไว้ เธอต้องสวมเสื้อเปิดหน้าท้อง และในปี 2007 นั้น การสวมเสื้อเปิดหน้าท้องก็ยังเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยม ไมเคิล เบย์ และ เดบอราห์ ลินน์ สก็อตต์ (Deborah Lynn Scott) ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายในหนัง แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกเขาต้องการให้ มิเคลาปรากฎตัวในเสื้อผ้าที่ทันสมัย แต่ก็เปิดเผยเนื้อหนังพอควร สำหรับเบย์แล้วเขาอยากได้นางเอกที่แข็งแรงพอที่จะวิ่งไปวิ่งมาได้หลายเทคโดยไม่หมดแรง แล้วก็ยังดูโอเคในชุดแฟชั่นนำสมัยอีกด้วย แม้จะไม่ใช่ข้อกำหนดที่เข้มงวดอะไรนัก แต่ฟ็อกซ์ก็สามารถทำได้อย่างสบาย

เบย์ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ฟ็อกซ์และ ไชอา ลาบัฟ (Shia LaBoeuf) มีเคมีที่เข้ากันได้ดี “ผมคิดว่าไชอาช่วยเธอไว้ มีพลังที่ดีระหว่างพวกเขาทั้งคู่ ผมคิดว่ามันเวิร์กมาก”


แต่แล้ว เมแกน ฟ็อกซ์ ก็มีปัญหากับ ไมเคิล เบย์ ผู้กำกับที่สร้างชื่อให้เธอขึ้นมา ทำให้เธอไม่ตัดสินใจกลับมาร่วมงานกับเขาใน ‘Transformers: Dark of the Moon’ ซึ่งเป็นหนังภาคที่ 3 ต้องเปลี่ยนตัวนางเอกเป็น โรซี่ ฮันทิงทัน ไวต์ลีย์ (Rosie Huntington-Whiteley) ซึ่งก็ไม่ได้แจ้งเกิดเป็นนางเอกสุดฮอตได้เหมือน เมแกน ฟ็อกซ์ แต่แล้วทั้งคู่ก็สามารถปรับความเข้าใจกันได้ในปี 2014

ที่มา : slashfilm