แม้ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ชื่อของ วิล สมิธ (Will Smith) อาจจะดูด่างพร้อยไปบ้างจากเหตุการณ์ตบสนั่นโลกกลางเวทีประกาศรางวัลออสการ์เมื่อปี 2022 แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าเขาคืออีกหนึ่งนักแสดงมากฝีมือที่มีผลงานการแสดงในพอร์ตโฟลิโอของตัวเองมากมายนับไม่ถ้วน

และหนึ่งในผลงานการแสดงของเขาที่คนทั้งโลกชื่นชอบก็คือ บทบาทเจ้าหน้าที่เจย์ (Agent J) จากแฟรนไชส์หนังแอ็กชันไซไฟคอมเมดี้ชื่อดัง ‘Men in Black’ ไม่ว่าจะเป็นการแท็กทีมปราบเอเลียนกับเจ้าหน้าที่เคย์ (Agent K) ที่รับบทโดย ทอมมี ลี โจนส์ (Tommy Lee Jones) และมาดของสมิธกับปากกาลบความทรงจำที่แฟนหนังหลายคนต้องจำได้

แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือ เขาเองเคยมีความคิดไม่อยากรับบทเจ้าหน้าที่เจย์แล้ว ด้วยเหตุผลบางประการ รวมทั้งก่อนที่ ‘Men in Black’ ภาคแรกจะออกฉายในปี 1997 เขาเองก็เพิ่งรับบทเป็นกัปตันสตีเวน ฮิลเลอร์ ในหนังหนังไซไฟเอเลียนฟอร์มยักษ์ ‘Independence Day’ (1996) ก็เลยทำให้เขาไม่อยากจะรับงานแสดงแนวไซไฟมนุษย์ต่างดาวซ้ำแบบติด ๆ กัน แต่กลับเป็นเหตุผลเท่ ๆ ของพ่อมดฮอลลีวูดอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ที่ทำให้เขายอมรับแสดงจนได้ ซึ่งเขาได้เล่าเรื่องนี้ในรายการ ‘Hart to Heart’ ดำเนินรายการโดยนักแสดงตลก เควิน ฮาร์ต (Kevin Hart)

โดยก่อนหน้านั้นเขาได้เล่าเกี่ยวกับการทำงานกับอดีตผู้จัดการส่วนตัว หุ้นส่วนทางธุรกิจ และโปรดิวเซอร์คนสนิทของสมิธอย่าง เจมส์ แลสซิเตอร์ (James Lassiter) ที่คอยแนะนำงานแสดงคุณภาพระดับมาสเตอร์พีซให้กับนักแสดงคนดังมาโดยตลอด

“ในช่วงยุครุ่งเรืองของผม มีหนัง 10 เรื่องที่ผมไปถึงจุดสูงสุดของอาชีพ ซึ่งก็มีเจมส์นี่แหละที่คอยเป็นคนคัดเลือกบทพวกนั้นให้ผม เขาเป็นคนมีวิสัยทัศน์มากนะครับ ที่ผ่านมา ผมเคยปฏิเสธไม่อยากแสดงในหนังทั้ง ‘Pursuit of Happyness’ (2006) รวมทั้ง ‘Ali’ (2001) และ ‘Men in Black’ ที่เจมส์เป็นคนเลือกให้นี่ก็ด้วย เพราะว่าปีที่แล้วผมเพิ่งผ่าน ‘Independence Day’ มาหยก ๆ ผมว่าผมพอเข้าใจนะว่า ‘Men in Black’ เป็นแบบไหน แต่ผมก็แค่ไม่อยากจะแสดงน่ะ”

Will Smith Men in Black

แม้สมิธจะพอเข้าใจว่าแลสซิเตอร์มีวิสัยทัศน์และมักจะโยนงานแสดงดี ๆ มาให้เขาอย่างสม่ำเสมอ (ดูจากรายชื่อหนังที่สมิธเอ่ยถึงก็น่าจะพอนึกออก) แต่สมิธคงปฏิเสธบทบาทเจ้าหน้าที่เจย์ได้แบบลงคอไปตั้งนานแล้ว หากเจ้าของบริษัทผู้ผลิตหนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นของ แอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์ (Amblin Entertainment) ที่มีผู้ก่อตั้งอย่างสปีลเบิร์ก นั่นก็เลยทำให้พ่อมดฮอลลีวูดถึงกับต้องเชิญสมิธมาคุยถึงที่บ้าน และไม่ได้แค่เป็นการเทียบเชิญแบบธรรมดา ๆ

“จนกระทั่งวันหนึ่ง สตีเวน สปีลเบิร์ก นี่แหละที่ส่งเฮลิคอปเตอร์มารับผม ให้ไปคุยกับเขาที่บ้าน ตอนนั้นผมอยู่ที่นิวยอร์ก ผมก็เลยต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปลงถึงหน้าบ้านเขาเลย เขาออกมาทักทายผม และวันนั้นก็เป็นครั้งแรกด้วยที่ผมดื่มน้ำมะนาวโซดา คือตอนนั้นใครมันจะกล้าไปปฏิเสธล่ะ”

Will Smith Men in Black Tommy Lee Jones

“แล้วหลังจากนั้น เขาก็พูดประโยคหนึ่งออกมา ซึ่งแม่-โคตรเท่เลย เขาบอกผมว่า ‘ไหนลองบอกเหตุผลมาสิ ว่าทำไมคุณถึงไม่อยากจะเล่นหนังของผม…’ เพราะว่าตอนนั้นเขาเป็นโปรดิวเซอร์หนังเรื่องนี้ด้วยไง แล้วเอาเข้าจริง ถึงตอนนั้นผมก็ยอมตกลงตั้งแต่ที่เขาพูดประโยคแรกแล้วแหละ แล้วเขาก็เงียบไป ถ้าปล่อยให้เขาพูดต่อ ผมเดาว่าสปีลเบิร์กคงพูดต่อแหละว่า ‘เฮ้ยนาย รู้ใช่ไหมว่าผมเคยกำกับหนัง ‘Jaws’ (1975) มาก่อน หรืออย่าง ‘E.T.’ (1982) นี่ก็หนังผมนะ… ‘ อะไรแบบนี้”

ต้องเรียกว่าเป็นมนต์เสน่ห์ (หรือจะเรียกว่าวิสัยทัศน์) ของสปีลเบิร์กเลยก็ว่าได้ เพราะในที่สุดหลังจากที่ ‘Men in Black’ (1997) หนังไซไฟมนุษย์ต่างดาวที่ดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนของ โลเวลล์ คันนิงแฮม (Lowell Cunningham) และกำกับโดย แบร์รี ซอนเนนเฟลด์ (Barry Sonnenfeld) ออกฉาย ตัวหนังก็ประสบความสำเร็จด้วยเรื่องราวแนวไซไฟเอเลียนที่เคล้าความตลก และเคมีของนักแสดงคู่หูที่มีความเป็นพ่อกับลูกได้ออกมาลงตัวสุด ๆ จนสามารถทำรายได้ Box Office ไปมากถึง 589.4 ล้านเหรียญ

จนกระทั่งมีการสานต่อออกมาอีก 2 ภาค ทั้ง ‘Men in Black II’ ที่ฉายในปี 2002 และ ‘Men in Black 3’ ที่ฉายในปี 2012 ที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน จะมีก็แต่ภาค ‘Men in Black: International’ ภาคต่อของไตรภาคชุดแรก ที่เปลี่ยนตัวละครหลักเป็นเจ้าหน้าที่เอช (Agent H) ที่รับบทโดย คริส เฮมส์เวิร์ธ (Chris Hemsworth) และ เจ้าหน้าที่เอ็ม (Agent M) ที่รับบทโดย เทสซา ธอมป์สัน (Tessa Thompson) กลับทำรายได้เพียง 253.9 ล้านเหรียญ รวมทั้งคำวิจารณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก จนไม่อาจเทียบเท่าเวอร์ชันสมิธ-ลีโจนส์ ที่นับเป็นอีกคู่หูคลาสสิกของฮอลลีวูดไปแล้ว


ที่มา: Variety, Entertainment Weekly

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส