อย่างที่ทราบกันดีว่า ‘Oppenheimer’ หนังเรื่องล่าสุดของ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ที่กำลังฉายและกวาดรายได้อยู่ในขณะนี้ เป็นหนังเรื่องแรกที่เขาร่วมงานกับ Universal Pictures หลังจากที่โนแลนลาจากบ้านเก่าอย่าง Warner Bros. ที่ร่วมงานในฐานะ Distributor มาเป็นเวลายาวนานกว่า 21 ปี ซึ่งเป็นผลพวงจากกรณีที่เขาไม่เห็นด้วยที่สตูดิโอได้นำเอาหนังไซไฟจารกรรมสุดล้ำ ‘Tenet’ (2020) ไปฉายทาง HBO Max (หรือ MAX ในปัจจุบัน) แบบชนโรง

ตลอดเวลาที่ผ่านมา โนแลนกับ Warner Bros. Pictures ถือเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกันมาโดยตลอด เรียกว่าโนแลนคือห่านทองคำที่กำกับหนังเมื่อไหร่ Warner Bros. ก็เก็บรายได้เข้ากระเป๋าแบบชัวร์ ๆ มาตลอด แต่ในยุคที่เขายังไม่ได้เป็นเสด็จพ่อ แต่เป็นเพียงผู้กำกับหนุ่มหน้าใหม่ เขาเคยถูกผู้บริหารสตูดิโอปฏิเสธการจัดจำหน่ายผลงานหนังเรื่องที่ 3 ในชีวิตของเขาอย่าง ‘Insomnia’ (2002) มาแล้ว

และคนที่ทำให้สตูดิโอต้องเปลี่ยนใจ ทำให้หนังดราม่าทริลเลอร์เรื่องนี้ กลายเป็นหนังระบบสตูดิโอเรื่องแรกของโนแลนก็คือ เพื่อนผู้กำกับอย่าง สตีเวน โซเดอเบิร์ก (Steven Soderbergh) เจ้าของผลงานกำกับทั้งหนังอินดี้ ‘Sex, Lies, and Videotape’ (1989) และหนังแมสดัง ๆ ทั้งแฟรนไชส์หนังทีมปล้นตระกูล ‘Ocean’s’, หนังโรคระบาด ‘Contagion’ (2011) รวมทั้งแฟรนไชส์หนังสายล่ำ ‘Magic Mike’ นั่นเอง

Steven-Soderbergh

โซเดอเบิร์กได้ให้สัมภาษณ์กับ Rolling Stone ในระหว่างโปรโมตซีรีส์ไซไฟคอมเมดี้ ‘Command Z’ ที่เขากำกับ โดยเขาได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับมิตรภาพของเขากับโนแลน และจุดเริ่มต้นสายสัมพันธ์ 2 ทศวรรษของโนแลนกับ Warner Bros. ซึ่งเขาได้เล่าว่า เวลานั้น มีผู้บริหารคนหนึ่งที่ปฏิเสธที่จะพบกับโนแลนในการกำกับหนัง ‘Insomnia’ เพียงเพราะว่าไม่ชอบหนังเรื่องก่อนหน้าของโนแลนอย่าง ‘Memento’ (2000)

โซเดอเบิร์กเองที่เพิ่งมือขึ้นหลังจากประสบความสำเร็จกับ ‘Ocean’s Eleven’ (2001) ที่ทำรายได้ให้ Warner Bros. เป็นกอบเป็นกำ จึงจัดการโทรสายตรงไปที่ผู้บริหารคนนั้นเพื่อให้เรียกโนแลนไปพูดคุยเจรจาโดยด่วนด้วยตัวเอง เหตุก็เพราะว่าโซเดอร์เบิร์กชอบหนัง ‘Memento’ ที่ออกฉายตามเทศกาลในเวลานั้นมาก ๆ และมั่นใจว่าหนังเรื่องต่อไป ‘Insomnia’ จะต้องออกมาดีงามแน่นอน

“สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้นก็คือ ผมได้รับโทรศัพท์จาก แดน เอโลนี (Dan Aloni) ตัวแทนของคริส ที่ผมรู้จัก เพราะเขาเป็นคนฉาย ‘Memento’ ให้ผมดู หลังจากที่ยังหาผู้จัดจำหน่ายไม่ได้ ตัวหนังก็เลยฉายวนเวียนอยู่ในเทศกาลหนังมาปีหนึ่ง แดนโทรหาผมและพูดว่า ‘คุณช่วยดูหนังเรื่องนี้ให้ทีได้ไหม ? ลูกค้าของผมมีหนังเรื่องนี้อยู่ และพวกเราคิดว่ามันดีมาก แต่ไม่มีใครสนใจเลย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม บางทีพวกเราทุกคนอาจจะสติเลอะเลือนไปแล้วก็ได้’ ซึ่งพอผมดูแล้วก็รู้เลยทันทีว่ามันเป็นหนังที่แม่-คลาสสิกแน่นอน …ซึ่งมันเป็นอะไรที่โคตรหดหู่เลย ตอนนั้นผมอารมณ์เสียมาก”

“จากนั้นอีกหลายเดือน แดนโทรมาหาผม และบอกว่าตอนนี้บทหนัง ‘Insomnia’ อยู่ที่ Warner Bros. นะ คริสตั้งใจกับหนังเรื่องนี้มาก แต่ Warner Bros. ไม่ยอมเรียกเขาไปคุยสักที ผมก็เลยถาม ‘หมายความว่าไงนะที่เขาไม่ได้เรียกเข้าไปคุย ? ‘ แดนบอกว่า ‘เป็นเพราะว่าผู้บริหารคนหนึ่งเขาไม่ชอบ ‘Memento’ น่ะ'”

Christopher-Nolan-Al-Pacino-Insomnia

“ผมเลยโทรหาผู้บริหารคนนั้นแล้วบอกว่า ‘เรียกไปคุยเถอะ คุณต้องเรียกเขาเข้าไปคุย’ เขาบอกผมว่า ‘แต่ผมไม่ชอบหนังเรื่องนั้น’ ผมเลยถามว่า ‘แล้วคุณชอบการทำหนังใช่ไหม’ เขาก็ตอบว่า ‘อืม…ใช่ หนังมันทำออกมาอย่างยอดเยี่ยม’ ผมพูดต่อว่า ‘งั้นก็นัดคุยกันสิ แค่นั้นแหละ ผมรู้จักคริสดีพอที่จะรู้ว่า ถ้าเขาเข้าไปในห้องประชุม เขาจะได้งานนั้นแน่ ๆ และเขาก็ถามผมว่า ‘ถ้างั้นให้บริษัท Section Eight (บริษัทผลิตหนังของโซเดอร์เบิร์ก) มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ไหมล่ะ ? ‘ ผมก็บอกว่า ‘เอาสิ’ นั่นแหละครับ…”

‘Insomnia’ เป็นหนังแนวดราม่าทริลเลอร์จิตวิทยา ผลงานกำกับเรื่องที่ 3 ของโนแลน เป็นการรีเมกจากหนังต้นฉบับของนอร์เวย์ที่ฉายในปี 1997 กำกับและเขียนบทโดย เอริก เซียลด์เบิร์ก (Erik Skjoldbjærg) ถือเป็นหนังเรื่องเดียวที่โนแลนไม่ได้เขียนบทหรือร่วมเขียนบทด้วยตัวเอง ตัวหนังเล่าเรื่องของตำรวจผู้เก่งกาจที่กำลังสืบคดีฆาตกรรมเด็กสาว แต่หลังจากเกิดข้อผิดพลาดในหน้าที่ ทำให้เขานอนไม่หลับและเกิดภาพหลอน กลายเป็นการไล่ล่าและเชือดเฉือนทางจิตวิทยาอันดุเดือด

Al Pacino Robin Williams Insomnia

โดยหนังเรื่องนี้ได้นักแสดงรุ่นเก๋าอย่าง อัล ปาชิโน (Al Pacino) มาปะทะกับ โรบิน วิลเลียมส์ (Robin Williams) ดาราตลกที่พลิกมารับบทแนวดาร์ก ๆ ตัวหนังทำรายได้ 114 ล้านเหรียญ และได้รับคำชมในทางบวกจากนักวิจารณ์ และเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ 21 ปีของทั้งโนแลนและ Warner Bros. ที่รับจัดจำหน่ายหนังของโนแลนเกือบทุกเรื่องในเวลาต่อมา ไล่ตั้งแต่ไตรภาค ‘The Dark Knight’, ‘Inception’ (2010), ‘Interstellar’ (2014), ‘Dunkirk’ (2017) และ ‘Tenet’ (2020)

โซเดอเบิร์กทิ้งท้ายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของโนแลนและอดีตสตูดิโอที่เคยร่วมงานกันมายาวนานว่า “มันเป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ผลิดอกออกผลอย่างมากครับ เพียงแต่มันถูกทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมายังไง คริสโตเฟอร์ โนแลน ยังไงก็มาแน่ ๆ ต่อให้เขาไม่ได้กำกับ ‘Insomnia’ เขาก็คงไปทำอย่างอื่น และยังคงทำงานอย่างที่เขาอยากทำ มันเป็นเพียงสถานการณ์จังหวะดี ที่ผมสามารถโทรศัพท์เข้าไปช่วยสนับสนุนให้กับเขาได้”


ที่มา: Rolling Stone, Variety, Screen Rant

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส