‘ภารกิจฮาแหกเกาะ (Comedy Island)’ ซีรีส์เรียลลิตี้ออริจินัลเรื่องแรกของไทยจากทาง Prime Video ฝีมือการกำกับของ คีต-กฤษดา คณิวิชาภรณ์ และ เมษ ธราธร ที่ครั้งนี้พวกเขาได้ร่วมสรรค์สร้างซีรีส์เนื้อเรื่องแปลกใหม่ ที่นำความเป็นเรียลลิตี้ เข้ามาผสมกับการเดินเรื่องแบบซีรีส์ทั่วไป โดยที่ตัวนักแสดงเองจะได้เล่นตามบทเพียงบางส่วนเท่านั้น

beartai BUZZ ได้มีโอกาสนั่งพูดคุยกับเหล่านักแสดงนำอย่าง ‘มาร์ช-จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล’, พีค-ภัทรศยา เครือสุวรรณศิริ’, ‘แจ็ค-เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์’ และ ‘โจ๊ก-กรภพ จันทร์เจริญ’ เกี่ยวกับการเดินทางในเส้นทางการนักแสดงของแต่ละคน และการได้มาร่วมงานกันในซีรีส์เรื่องนี้

ชีวิตวัยเด็ก เคยฝันว่าอยากเป็นนักแสดงไหม?

แจ็ค: ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอยากเป็นดารา เพราะว่ามันเด็กมาก ผมเล่นหนังสั้นมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก่อนที่จะมาเล่น ‘แฟนฉัน’ ผมเล่นหนังสั้นมาก่อน เรื่องแรกในชีวิตของผม ก็ประกวดที่ ‘Fat Flim’ ตอนนั้น พี่บอล-วิทยา ทองอยู่ยง กำกับ จากนั้นก็เริ่มเจอพี่ ๆ ผู้กำกับ ‘แฟนฉัน’ บางท่านแล้ว พอได้เล่นหนังสั้นเรื่องแรกแล้วได้เงิน 5,000 บาทมันเหมือนประสบความสำเร็จ เพราะว่าประกวดหนังแล้วได้ที่หนึ่ง ตอนนั้นถ้าให้เลือกระหว่างเล่นเกม กับเล่นหนัง เราก็จะเลือกเล่นเกมมากกว่าเพราะว่าติดเกมไง ณ ตอนนั้นขอแค่เกมพอแต่ถ้าเงินหมดก็อยากเล่นหนัง

อีกเรื่องหนึ่งก็เป็นหนังสั้นเหมือนกันเป็นหนังก่อนจะมาเป็น ‘แฟนฉัน’ ชื่อเรื่อง ‘อยากบอกเธอ…รักครั้งแรก’ เป็นหนังสั้นที่ พี่ปิ๊ง-อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม เป็นคนให้พี่บอลเขียนบทแล้วก็ไปถ่ายหนังสั้นจน พี่เก้ง – จิระ มะลิกุล บอกว่าไม่ต้องฉายแล้วเอามาทำเป็นหนังใหญ่เลย ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดเลยว่าเราจะมาไกลได้ขนาดนี้

พีค: ของพีคไม่ได้คิดเรื่องว่าจะมาเป็นนักแสดงเลย แค่เหมือนว่าตอนนั้นเด็ก ๆ เราก็ดูทีวี โฆษณา ดูอะไรแบบนี้ เราก็จะรู้สึกว่าอยากเห็นตัวเองไปอยู่ในทีวีเฉย ๆ คือเหมือนเคยเห็นคนที่โรงเรียนเขาไปอยู่ในทีวี เราเลยอยากไปอยู่ในทีวีบ้างอยากให้คนอื่นเห็น คนอื่นทักแค่นั้นเลย เราก็ได้มีโอกาสไปแคสต์โฆษณาอะไรแบบนี้ แต่ว่าเรื่องการแสดงเราไม่ได้คิดถึงเลย เพราะว่าตอนนั้นแอ็กติงไม่ได้เลย เพราะว่าเวลาไปแคสต์เราทำไม่ได้ จน ‘สายลับจับบ้านเล็ก’ มีให้ไปแคสต์ เราก็คิดว่าจะไม่ไปละ เพราะว่ารู้สึกว่ามันยากคงไม่เหมาะกับเรา สุดท้ายก็โดนตามอีกรอบหนึ่ง แล้วก็ได้เรื่องนี้มาก็เลยได้ทำงานในวงการมาตั้งแต่ตอนนั้น

มาร์ช: ถ้าตอนนั้นช่วง ‘ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น’ เรายังไม่รู้ว่าตัวเองจะมาเป็นนักแสดงเต็มตัวเลย เราแค่รู้สึกว่า แต่ละวันเหมือนไปเจอเพื่อน ๆ ไปเล่นสนุกในโรงเรียนที่เป็นสถานที่ในการถ่าย เหมือนไปเล่นกับเพื่อนมากกว่า แต่พอแบบหลังจบฮอร์โมน ซีซัน 1 มันถึงจะสอนให้ผมรู้ว่า สิ่งนี้เป็นอาชีพ มันเป็นวิชาชีพ เราต้องมืออาชีพมากขึ้น ตั้งใจทำงานเพราะมันคืองานแล้ว หลังจากนั้นมันก็ความรู้สึกมันก็เปลี่ยนไปเป็นความจริงจังมากขึ้น เป็นความตั้งใจ เป็นความรู้สึกที่ต้องพัฒนาตัวเองเพื่อให้งานของเราดีต่อไป

โจ๊ก: ผมนี่เรื่องการแสดงเคยคิดตอนเด็ก “หรือเราจะไปเป็นดารา” แล้วก็ส่องกระจก พอส่องกระจกปุ๊บไม่น่าได้แล้ว! ก็ล้มเลิกไปตลอดกาล มันมองแล้วไม่ใช่อ่ะ จนมาเป็นนักร้อง จากนั้นก็ไม่ได้อยากเป็นนักแสดงนะ ก็คือว่าโชคชะตาที่ได้มาเล่น เพราะแบบพี่เมษ ธราธร นี่แหละที่เอาเรามาเล่น ‘ATM เออรัก เออเร่อ’ ก็ตามบทเขาให้ทำอะไรก็ทำไป พอคนชอบเรตติงดีถึงค่อยมาสนใจมองว่ามันเป็นอาชีพ

แจ็คกับพีค ทำงานด้วยกันบ่อยครั้ง First impression ระหว่างทั้งคู่เป็นอย่างไรบ้าง

แจ็ค: ตอนนั้นพอรู้ว่าจะต้องมาเล่นกับพี่พีค ก็รู้สึกพี่พีคน่ารักดีเป็นสเปกของผู้ชาย ปากเล็ก ขาสวย ผิวดี ยุคนั้นคือแกแบบฮอตมาก ๆ จำได้ว่าเราเคยดูพี่เขาเล่น MV เพลง ‘ก๋วยเตี๋ยวหน้าใสกับใจโทรม ๆ’ ของแพนเค้ก

พีค: ตอนเจอครั้งแรก คิดว่าเขาเป็นน้องพีคแบบเด็กกว่าพีคมาก ๆ เพราะเราติดภาพเขาในเรื่อง ‘แฟนฉัน’ เวลาเจอแจ็คพีคก็จะแบบเอ็นดู เข้าไปกอดแบบถึงเนื้อถึงตัวเขาก็จะกอดเรากลับ แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไร จนถ่ายหนังเกือบจะจบทุกคนก็แซวว่า “พีคอะกอดแจ็คเยอะมากเลย” พีคก็ใช่แจ็คไม่คิดอะไรหรอก แต่แจ็คก็ตอบกลับมาว่า “เปล่า กูคิด” ก็กลายเป็นเรื่องตลกไปหลังจากนั้น แล้วก็เลยมารู้ทีหลังว่าเขาอายุใกล้ ๆ เราเกิดปีเดียวกัน

หลังจากทำงานร่วมกันมาตลอดหลายปี มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง?

แจ็ค: อย่างที่บอกตอนนั้นเราเล่นสายลับด้วยกัน แล้วเราอยู่ค่าย GTH ก็จะมีงานเลี้ยงของค่ายที่ไปเลี้ยงปีใหม่ ก็จะเจอพี่พีคแล้วคาแรกเตอร์พี่พีคก็คือ ‘จิบอ่ะจิบ” แล้วก็แบบสนุก ปกติเราเล่นหนังกับเขาก็ยังไม่ได้คลุกคลีอะไร เราจะจำภาพพี่พีคก็คือแบบ “แจ็คชน!” อะไรอย่างนี้ สไตล์พี่แกเขาเป็นสายสนุกสนาน

แต่เราก็มีความผูกพันกับพี่พีคอีกเรื่องนึงไม่ค่อยได้เล่าที่ไหนก็คือ เรื่องของการศึกษา พี่พีคเป็นคนที่ทำให้ผมได้ไปเรียน มหาวิทยาลัยรังสิต เพราะว่าเป็นคนพาผมเข้าไปไปกรอกใบสมัครเพราะผมเพิ่งจบ ม. 6 แล้วผมทำงานเยอะไม่ค่อยได้เรียน แล้วในใบสมัครมันจะมีช่องหนึ่ง ที่แบบให้กรอกเราก็ถามพี่พีคว่า “บิดาพ่อหรือแม่วะ”

พีค: คือทุกคนที่ GTH สมัยก่อนทุกคนเขาจะเอ็นดูแจ็คมาก ด้วยความที่แบบใคร ๆ ก็เอ็นดู รักแจ็ค อะไรช่วยได้ก็ช่วย ทุกคนก็รู้สึกว่าเขาเหมือนน้อง แต่จริง ๆ แล้วคือเราเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน จนวันนี้เขาโตขึ้นมาแล้วก็ยังรู้สึกเขาเหมือนเดิม

กดดันหรือกังวลมากน้อยแค่ไหนในการเล่นซีรีส์เรื่องนี้?

พีค: คือไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว พอเรารู้ว่ามีโปรเจกต์นี้ได้ร่วมงานกับ พี่เมษ พี่คีต ที่เป็นผู้กำกับที่เราอยากทำงานด้วยอยู่แล้ว พีคแค่อยากไปสนุก แต่เราไม่รู้เลยว่าเราจะต้องเล่นยังไง ยิ่งเขาบอกว่ามันไม่มีบทด้วยนะเป็นแบบด้นสด คือเราก็เหมือนอยากจะแบบไปปล่อยจอยอยู่แล้ว มันก็เลยยิ่งสนุกเพราะมันไม่มีอะไรมาจำกัดเรา และเพื่อนร่วมงานของเราอีกด้วยพอตอนถ่ายมันก็แบบบรรยากาศมันดีมากมีแต่หัวเราะน้ำตาไหล

แจ็ค: อย่างที่บอกว่าจริง ๆ แล้วการรับงานหรือทำงานอะไรสักเรื่องหนึ่ง มันมีความกดดันทั้งหมดอยู่แล้วแต่โปรเจกต์นี้มันมีความท้าทาย และตื่นเต้นมาก ๆ เพราะว่ามันเป็นของต่างประเทศซึ่งเราไม่เคยคิดว่าการทำงานระบบของต่างประเทศมันเป็นยังไง ก็จะมีความเกร็ง เราก็เต็มที่เพราะว่าอยากชาเลนจ์ตัวเองว่าไหนลองแสดงดี ๆ สิ ผมเป็นคนรับงานแบบ ถ้าหนังเยี่ยม ผมก็เล่นให้เยี่ยม แต่ถ้ากำกับไม่ดี ผมก็เล่นไม่ดีให้ ผมจะเป็นอย่างนี้ ผมเป็นคนไม่หลอกคนเลยแล้วผมรู้สึกว่าคนมาด่า “หนังแย่จัง” ก็ผมเล่นแย่ไง ระบบมันไม่ได้ คือโลกมันเปลี่ยนไปกว่าแต่ก่อน แบบอุตส่าห์ตั้งใจ ทำหนังกลับเจ๊งก็มี ผมเลยมองว่าโปรเจกต์นี้มันพิเศษตรงที่ พอเวลามันไปถ่ายปุ๊บ นักแสดงมันสนุก แล้วมันมีความสุข

มาร์ช: โปรเจกต์นี้มันเป็นก้าวสำคัญของวงการบ้านเรานะ ถือว่าเป็นสตรีมมิงอีกเจ้า ที่มาทำซีรีส์ออริจินัลกับประเทศไทย มันเป็นก้าวแรกที่มาพร้อมกับความกดดันที่ว่า ถ้าเราทำได้ดีหลังจากนี้มันก็จะมีก้าวต่อ ๆ ไปที่มันไปไกลได้ขึ้นไปอีก งานี้ก็ใส่กันสุดอยู่แล้ว

เราตื่นตาตื่นใจมากกับสเกลงานที่มันเป็นระดับ Global จริง ๆ ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน มันก็เหมือนการเรียนรู้จากฝั่งระดับโลก ว่าเขาทำงานกันอย่างไรแล้วก็ซึมซับ เราก็เชื่อว่าวันหนึ่งอุตสาหกรรมบันเทิงในบ้านเราก็จะก้าวไปถึงจุดนี้ได้ถ้ามีงานเหล่านี้ไหลเข้ามาเล่นมากขึ้นเรื่อย ๆ

โจ๊ก: รถตู้ 50 คันเอามาทำอะไรคือจอดเต็มสนามแบบว่ากองใหญ่จริง ๆ สร้างหมู่บ้านขึ้นมาด้วยแม้กระทั่งอาหารการกินก็มีตลาดให้ทีมงานนักแสดงกินนู่นกินนี่กัน ก็เลยรู้สึกว่ามันอิ่มเอมใจมากกว่ากดดันนะ มันรู้สึกภูมิใจมากกว่า มันเหมือนกับว่าทำไมเราโชคดีจังเราได้เล่น แล้วเราก็ได้ประสบการณ์ที่ดีมากเลยกับการถ่ายทำ

การแสดงที่ไม่มีบท ยากไหม?

พีค: พีคไม่ได้คิดอะไรเลย ก็คืออะไรที่เราสนุกเราก็ทำไป แล้วเราก็เล่นไปตามนั้นเลยจริง ๆ ไม่ได้คิดเลยว่าจะต้องขำหรือไม่ขำ ถ้าเราสนุกก็เล่นไป เขาอาจจะไม่ขำนะ แต่เราก็ขำที่เราเล่นออกไป มันไม่ได้ผิดว่ามันจะแป้ก มันก็เป็นความเป็นความตลกอย่างหนึ่ง เราใช้สัญชาตญาณล้วน ๆ เลย 

แจ็ค: เรื่องนี้มันไม่มีบทมันดีสำหรับผมมาก เพราะผมรู้สึกว่าผมเล่นหนังมีบทมาก็เยอะอยู่แล้ว ผมคิดว่าความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ถ้ามันหลุดออกมาจากตัวตนจริง ๆ มันเป็นของขวัญที่ให้คนดูได้นะ หรือแบบรีแอ็กแบบธรรมชาติที่ไม่ใช่มากระซิบว่า “เดี๋ยวตรงนี้ไปอย่างนี้นะ” คือตลกกระซิบมันก็จะได้จังหวะแต่อันนี้มันคือ ‘เรียลลิตี้’ ที่ชื่อว่าเรียลลิตี้จริง ๆ

มาร์ช: จริง ๆ ต้องเรียกมันว่าซีรีส์เรียลลิตี้ มันเป็นคำใหม่ที่เราอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน ตัวผมเองเนี่ยตั้งแต่พี่เมษติดต่อมาผมไม่เคยได้ยินซีรีส์รูปแบบนี้มาก่อน ปกติได้บทหนึ่งเล่มมา เราต้องดูทุกอย่างในเรื่อง แต่ว่าอันนี้มันก็จะมีซีนที่มันเว้นไว้แล้วเขียนว่า “ด้นส้น” นั่นแหละมันคือสิ่งที่ผมจะไปเจอเอาหน้าเซตเลยแล้วก็มีโอกาสครั้งเดียว ไม่มีเทคยังไงก็อย่างงั้น คือจะเห็นความไม่เพอร์เฟกต์ที่เกิดขึ้นในจอแน่ ๆ แต่ว่าความไม่เพอร์เฟกต์ตรงนั้นเนี่ย มันจะสร้างสร้างเสน่ห์และความบันเทิงอีกแบบหนึ่งให้กับผู้ชม

โจ๊ก: ของผมบทเยอะที่สุด ผมเป็นคนควบคุมเกาะนี้และบทหนากว่าคนอื่นด้วย แต่ความง่ายของมันคือผมไม่ต้องเล่นไง ผมไม่ต้องแข่งด้วย เวลาที่เขาต้องเอาตัวรอดผมก็นั่งดูอย่างเดียว แล้วที่นี้ในบทก็คือเล่นเป็นคนเครียด ไม่ได้เล่นมุกตลกเลย พอเราตลกมันก็จะเกิดอาการกลั้นขำ จนผู้กำกับเขาต้องประชุมกันว่าเอายังไงพี่โจ๊กไม่น่ารอด สุดท้ายเลยต้องปล่อยให้ผมหลุดขำไปด้วย

โปรเจกต์ใหญ่ย่อมมาพร้อมกับคำวิจารณ์เสมอ มีวิธีการรับมือกับคอมเมนต์แย่ ๆ หรือรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวอย่างไร?

แจ็ค: ก็ต้องขอโทษเขา เพราะว่าเขาเสียเงินมาดูไง ผมคิดว่าเราไม่ควรด่าเขาเลย ถ้าถามผมนะ แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวด่าได้ แต่ว่า “อย่าเxือก” แต่เรื่องนี้มันคือผลงานที่เราจะทำให้เขาเสียเงินมาดูเรา ถ้าเขาด่าเราเนี่ยเราต้องปรับปรุงตัว เช่นว่า “ไอนี่ดร็อป ไอนี่แป้ก มุกไม่ค่อยฮานะ” คือต้องเชื่อเขาเพราะว่าเขาเป็นผู้ชมจริง ๆ เราไม่ควรจะไปว่าเขา เราควรจะปรับปรุงตัวให้เขา แต่มันก็จะมีสองประเภทอย่างเช่น เล่นมุกทางนี้พี่คนนี้ชอบ แต่พี่คนนี้ไม่ชอบ อันนี้เราก็ต้องทำใจ เพราะว่ามันจะให้คนชอบหมดไม่ได้เพราะว่าอย่างเช่นคนเรามันขำไม่เหมือนกันแต่ไม่ควรจะด่าคนดูเลย 

พีค: เราก็รู้ว่าเราไม่ได้เป็นคนเก่งอยู่แล้วตั้งแต่แรก แต่ว่ามันก็อาศัยประสบการณ์ที่เราได้ฝึก อย่างเช่นเมื่อก่อนคอมเมดี้ พีคจะเป็นคนหัวเราะคนอื่นแต่พอวันหนึ่งเราได้มาทางนี้แล้ว ก็มีคนหัวเราะเราเหมือนกัน เราก็ดีใจ แต่ถ้าสมมติว่าอันไหนที่มีคนติเรา หรือมองว่ามันไม่เหมาะสมพีคยอมรับหมดเลย ก็รู้สึกว่าเราทำได้แค่นั้นจริง ๆ แล้วรู้สึกว่าถ้าเราพัฒนาต่อไปได้ก็ค่อยรับบทนี้นะ แต่ถ้าเกิดว่ามันทำไม่ได้เราก็ไปรับบทที่มันถนัดกับเรา เขาจะได้ดูแล้วได้รับความบันเทิงจากเราไม่ใช่ดูแล้วไปขัดเขา ก็จะเอามาดูกับตัวเองมากกว่า อันนี้เราไปได้ ถ้าเกิดว่าไม่เหมาะเราไม่ทำดีกว่า 

มาร์ช: จริง ๆ ช่วงแรกตอนเด็ก ๆ สมัยย้อนกลับไป 7-8 ปีก่อน ยอมรับว่ามีปัญหากับการจัดการกับตรงนี้เรายังรู้สึกว่าเราเป็นเด็กวัยรุ่นที่เราอยากใช้ชีวิตปกติอยู่แต่พอความปกติของวัยรุ่นทั่วไปมันดันมีอะไรมาเออรุกล้ำความเป็นส่วนตัว แต่ว่ามันก็ปรับตัวตามอายุงานตามอายุที่มันเพิ่มขึ้นแล้วก็ทุกวันนี้เริ่มชินแล้วก็จัดการมันได้แล้ว เราก็ต้องแบ่งเวลา วันนี้ทำงาน วันนี้เวลาส่วนตัว และเวลาส่วนตัวเราก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าเออต้องไปแอบที่ไหน ก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนเราอยากไปไหน ทำนู่นทำนี่ก็เป็นปกติ ซึ่งทุกวันนี้ผมว่าค่อนข้างจัดการมันได้โอเคนะ สมมติว่าถ้ามีคนมาเจอเราในวันหยุด แต่เขามาขอถ่ายรูปมาคุยถึงต่าง ๆ ของเรา แล้วเราก็รับฟีดแบ็กโดยตรงมากกว่าทางคอมเมนต์ ส่วนคอมเมนต์ด้านไม่ดีต่าง ๆ เนี่ย เราก็ชอบอ่านนะ อะไรที่มันอยู่บนพื้นฐานที่เขาเสพงานของเราจริง ๆ แล้วพูดออกมาจากการที่เขาดูแล้วเขารู้สึกจริง ๆ แต่ถ้าอันไหนมันดูแบบหาเรื่องก็ข้ามไป

วงการบันเทิงไทยมีโอกาสที่จะไปโลดแล่นในต่างประเทศไหม?

พีค: พีคว่าพร้อมนะ เพราะว่าอย่างในเรื่องของความขยันและความตั้งใจคนไทยมีสองสิ่งนี้อยู่มาก ๆ

แจ็ค: ผมว่าพร้อมเพราะคนไทยที่ผ่านมาเป็นคนขยันเพราะคำว่าขยันมันทำให้รู้สึกว่ามันมีระเบียบในเรื่องของการทำงาน ไม่ใช่แค่แสดงอย่างเดียว สำหรับต่างประเทศหรือการที่จะโกอินเตอร์ปัญหาของของผม ผมมองว่าจริง ๆ แล้วรุ่นน้องเจนใหม่ ๆ ผมจะแนะนำ “ภาษานั้นสำคัญ อย่าโง่เหมือนผม” ที่คือลืมเรื่องเรียน เพราะว่าบางทีภาษามันจำเป็นมาก ๆ ถ้าสมมติวันหนึ่งเราไม่ได้โอกาสตรงที่นี่ เราอาจจะไปที่อื่นเพราะฉะนั้นภาษามันจำเป็น อยากให้แบบตั้งใจเรียนแล้วถ้าจังหวะดวงคนเรามันมาถึงมันก็จะมีโอกาสที่โกอินเตอร์ เพราะว่าผมเชื่อว่าคนไทยหลาย ๆ คนเราเป็นคนขยันอยู่แล้ว

แจ็ครับบทสายตลกมาตลอด มีความคิดอยากลองบทดราม่าที่ท้าทายบ้างไหม

แจ็ค: ผมส่วนใหญ่ก็จะรับบทเป็นแนวตลกสังขาร ตลกแบบหยาบคาย จริง ๆ ก็อยากรับบทอื่นบ้าง อยากเล่นบทพ่อ เพราะว่ารู้สึกว่าคนจะชอบจำเราเด็ก ๆ แล้วเราเป็นคนที่อยากชาเลนจ์ตัวเอง ผมเป็นคนขี้เบื่อมาก เช่นผมรู้สึกว่าการร่วมงานกับใครสักคนหนึ่งเนี่ย ถ้าเขาเก่งเราจะเก่งตามเขา แล้วก็การร่วมงานหรือทำอะไรใหม่ ๆ มันจะทำให้ตัวเองเก่งขึ้นไม่ใช่เดิม ๆ จะมาเป็นคนใช้ทั้งเรื่องก็ไม่ได้ จะมาเป็นบทตลกหมดมันดูไม่มีอะไรให้กับตัวเราเอง แล้ววันหนึ่งเราจะเบื่อ ก็เลยรู้สึกว่าอยากอยากลองบทใหม่ ๆ แต่ถ้าบทพ่อเรารู้สึกว่าเป็นพ่อดี ๆ มันทั่วไปต้องเป็น “พ่อเxี้ย ๆ” ไปเลยถ้าเป็นพ่อแบบเติมหนวดมีผมหงอกมันก็ทั่วไป

ฝากซีรีส์เรื่องนี้หน่อย

พีค: ขอฝาก ‘ภารกิจฮาแหกเกาะ (Comedy Island)’ นะคะทาง Prime Video นะคะวันที่ 31 สิงหาคม

แจ็ค: ทีมงานตั้งใจทำงานกันจริง ๆ ใช้เวลาอยู่ที่เกาะหลายเดือนมาก ๆ นี่เป็นซีรีส์เรียลลิตี้ออริจินัลเรื่องแรกของไทยที่ไปอยู่ใน Prime Video อยากให้ไปสมัครกันเยอะ ๆ นะครับ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส