‘Deane’s Dynasty’ ผลงานออริจินัลล่าสุดของทาง HBO Asia ถือเป็นรายการเรียลลิตี้แรกของไทยที่จะเผยแพร่ให้คนทั่วโลกได้เห็น เบื้องลึกเบื้องหลังชีวิตครอบครัวของสองนักแสดงแนวหน้าไทยอย่าง แมทธิว ดีน’ และ ‘ลีเดีย-ศรัณย์รัชต์ ดีน’

beartai BUZZ ได้มีโอกาสนั่งพูดคุยกับเหล่านักแสดงในรายการทั้ง แมทธิว, ลีเดีย และสองเพื่อนซี้อย่าง ‘พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์’ และ’แอริน-สิรีภรณ์ ยุกตะทัต’ ถึงเหตุผลที่ยอมเผยแพร่เรื่องราวส่วนตัวต่าง ๆ บทเรียนอันล้ำค่าจากวงการบันเทิง มุมมองความรักของแต่ละคน และเคล็ดลับการประคองชีวิตคู่ให้ยืนยาว

จุดเริ่มต้นที่ทำให้มาอยู่ในโปรเจกต์นี้ ?

แมทธิว: จริง ๆ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยชินเท่าไหร่กับการที่ต้องเปิดชีวิตแบบลึก ๆ เพราะที่ผ่านมาเราก็ถ่ายเป็นแบบรายการของเราอยู่แล้วในรายการ ‘DAILY DEANES+’ ที่กำลังฉายอยู่บนยูทูบ แต่ว่ามันไม่ใช่โปรดักชันที่ใหญ่ เราก็ถ่ายง่าย ๆ กำหนดไว้ในแต่ละวันว่าจะถ่าย 2-3 ชั่วโมง แล้วก็คัดเนื้อหาเพื่อที่จะนำเสนอสิ่งที่อยู่ในครอบครัวเรา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในครอบครัวเราทั้งวันมันมีอีก 10 กว่าเรื่อง 10 กว่าเหตุการณ์ 10 กว่ามิติ ที่เราไม่เคยเปิดเผยให้ใครเห็น แต่พอมีโอกาสได้ทำงานกับทาง HBO Go ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลก ก็ถือว่าเป็นความฝันของเราที่จะได้มีโอกาสได้ทำงานกับแพลต์ฟอร์มระดับโลกจริง ๆ แม้กระทั่งการตัดต่อเราก็ให้อยู่ในมือของทีมงาน ผู้กำกับ เพื่อที่จะได้เป็นกลางที่สุด ก็ปล่อยให้เขาจัดการไปว่า เขาเห็นเรื่องราวของเราจากมุมคนกลางมันเป็นยังไงบ้าง ถ้าถามว่าทำไมถึงพร้อมที่จะเปิดเผยเรื่องราวได้ขนาดนี้ นอกจากชื่อ HBO Go ผมเชื่อว่าการที่เราโตขึ้น และครอบครัวเราใหญ่ขึ้น ลูกของเราก็จะโตขึ้นเรื่อย ๆ เราอยากเก็บภาพโมเมนต์ตรงนี้เอาไว้ มันถือว่าเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่มันเกิดขึ้นในชีวิตของเรา แทนที่เราจะถ่ายในมือถือเอาไว้ ถ้าเราบันทึกมาเป็นวิดีโอคงดีกว่า มันสามารถเก็บไว้ย้อนดูได้ตลอดชีวิต มันเป็นการเปิดเผยที่จะทำให้ประชาชนได้เห็น และได้รู้จักกับเรามากขึ้น

ลีเดีย: คือเราเป็นแฟนรายการพวกวาไรตี้โชว์ต่างประเทศเยอะมาก ๆ แต่เราไม่รู้ว่าเขาทำกันยังไงมันต่างยังไงกับที่เราถ่ายกันง่าย ๆ บนยูทูบ ซึ่งพอได้ทำจริง ๆ ถึงรู้ว่ามันเป็นโปรดักชันที่ใหญ่มันมีกล้องแบบถ่ายหนัง 3 ตัว มีทีมงาน 30 กว่าคน มาอยู่ในชีวิตประจำวันของคุณ ระยะเวลาในการทำโปรเจกต์นี้ขึ้นมาใช้เวลาทั้งหมด 3 ปี ตั้งแต่เริ่มคุย ถ่ายทำ การผลิต เพราะฉะนั้นช่วงแรกในการถ่ายทำเราก็เหมือนจะไม่ค่อยชินกับการที่มีกล้องใหญ่ ๆ มาติดตามทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต แต่พอเขาอยู่กับเราไปเรื่อย ๆ เราจะปั้นหน้า หรือคีพลุคตลอด 24 ชั่วโมงก็ไม่ได้ คุณไม่สามารถไปคัตเขาได้ว่าฉันไม่เอาซีนนี้ คุณห้ามถ่ายตรงนี้ คุณจะเห็นทุกอย่างทั้งสวยและไม่สวย ทั้งดีและไม่ดี ทุกมิติของทุกคนใน ‘DEANE’S DYNASTY’ และมันก็เป็นรายการแรกของไทยด้วยที่เขาจะเอาครอบครัวไทยฉายในระดับโลกแบบนี้

พลอย: ก็ได้รับการชักชวนมาจากลีเดีย ตอนแรกเขาก็บอกว่า จะมีโปรเจกต์พิเศษชวนพี่พลอยนะ เขาก็บอกอย่างเดียวว่าเป็นเรียลลิตี้ และเป็นของ HBO Go ก็ยิ่งประหม่ากับตื่นเต้นทันที เพราะว่ารายการ ทีวี วาไรตี้ที่พลอยเคยทำก็มีแต่ ‘The Face Thailand Season 4 All-Stars’ ซึ่งบทบาทก็จะเป็นเมนเทอร์ มันจะไม่เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเราเลย แต่มันก็จะแสดงให้เห็นทุกคนได้เห็นนิสัยของเราเหมือนกัน แต่ก็จะเป็นอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งพลอยก็ค่อนข้างหวงชีวิตที่มันส่วนตัวมาก ๆ แบบเรื่องส่วนตัวก็มีการคิดการไตร่ตรองเพราะว่า ถ้าพลอยไม่มาร่วมด้วยก็จะพลาดชีวิตของทุก ๆ คนที่เป็นเพื่อนสนิทเรา และพลอยก็จะไม่ได้อยู่กับพวกเขาเป็นปีมันเลยทำให้พลอยคิดว่า ‘ก็ต้องมาปะ’  ก็ลองดูเป็นไงเป็นกัน แล้วช่วงชีวิตของเราในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอด 1 ปี ก็จะถูกถ่าย ไว้ ก็ถือว่าเป็นที่เก็บความทรงจำที่ดีของพวกเรา

แอริน: แอสนิทกับลีเดียอยู่แล้วตั้งแต่เด็กมีอะไรเราจะคุยกันหมดไม่ใช่แค่เรื่องงาน เรื่องกิน เที่ยว ก็จะชวนแอร์อยู่แล้ว ก็เลยชวนว่ามีโปรเจกต์นี้นะของ HBO Go เลยนะ เราก็แบบนี่มันระดับโลกเลยนะ เราก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้วครั้งหนึ่งในชีวิตที่เ ราจะมีรายการเรียลลิตี้ของตัวเอง เราเป็นแฟนรายการเรียลลิตี้เยอะอยู่แล้วดูของเมืองนอกตลอด มันก็คิดว่าเจ๋งนะ ถ้าเราเป็นครอบครัวที่เป็นรายการแรกของไทยที่เป็นเรียลลิตี้ระดับโลกขนาดนี้

รายการนี้ต้องแลกกับชีวิตส่วนตัวมาก ๆ คุ้มไหม

พลอย: ก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะมันคือสิ่งที่เราตัดสินใจที่จะเข้ามาอยู่ในรายการ เราก็ต้องถามตัวเองว่าเราพร้อมจริง ๆ หรือเปล่ากับการเป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราต้องไม่โกหก ในเมื่อเราตอบตกลงแล้ว เราก็ต้องพร้อมเจอกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่มันจะเกิดขึ้น เราอยู่ในวงการบันเทิงมา เจอคนทั้งรัก ทั้งเกลียด มาทั้งชีวิตแล้วก็มีความชิน ภูมิคุ้มกันค่อนข้างสูงเราหลีกเลี่ยงคำวิจารณ์ของผู้คนไม่ได้อยู่แล้วเราก็ต้องรับฟังและปล่อยผ่านไป

หลังจากรายการออกกาศไปกังวลไหมว่าคนดูจะคอมเมนต์แย่ ๆ ใส่เรา

ลีเดีย: เอาจริง ๆ ก็ลุ้นอยู่ว่าเขาจะเกลียดเราไหม เพราะเราก็ให้เห็นทุกมุม ทุกมิติ ทุกความสัมพันธ์ ของทุกคนที่อยู่ใน ‘DEANE’S DYNASTY’ ตั้งแต่ความสัมพันธ์ สามี ภรรยา ก็จะเห็นว่าเรามีความสุข เพราะเราจะให้เห็นแต่ส่วนนั้นออกไป แต่ว่ากล้องอยู่กับคุณ 24 ชั่วโมงเขาจะเห็นคุณทะเลาะกัน แล้วจะจัดการอย่างไร เถียงกันยังไง ซึ่งคุณไม่เห็นที่อื่นแน่นอน เพราะเราไม่โชว์ส่วนนั้นออกไป แต่ในนี้คุณเห็นแน่ ๆ คุณกจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเพื่อน เมื่อเรามาดูตอนตัดต่อเสร็จแล้ว มันก็จะมีมุมมองที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับคน ๆ นั้นที่มีความรู้สึกต่อเรา หรือคนรอบ ๆ

แมทธิว: ก็กังวลบ้างในบางครั้ง พอจบวันก็กลับไปคิดว่าพูดไรไปนะวันนี้ มันจะดีเหรอ แต่ว่าพอเรามาดูภาพกว้างแล้วมันก็เป็นตัวเราจริง ๆ ผมว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจยิ่งคนในทวีปเอเชียจะเห็นความเป็นครอบครัวเอเชียที่ค่อนข้างจะเหนียวแน่น ไปไหนก็ไปด้วยกัน อยู่กับพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย อยู่กันครบเลย ต่างชาติดูแล้วก็อาจจะสนใจในวัฒนธรรมของเรา การใช้ชีวิตแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

แอริน: มันก็ต้องมีวันที่เรานิสัยดี และวันที่เรานิสัยไม่ดีเหมือนกัน เราก็เป็นคนปกติคนหนึ่งก็ต้องมีวันที่เราไม่พูดอะไรเลยแต่หน้าตาเราออกอาการสุด ๆ มันก็ถูกบันทึกไว้หมดทุกอย่าง แล้วเราเองก็ควบคุมไม่ได้ด้วยมันเป็นรายเรียลลิตี้ถ้ามันเป็นช่องรายการของเราเองเราก็อาจจะตัดออก แม้แต่ในโซเชียลของเราเองก็จะให้คนเห็นภาพที่เรามีความสุข แต่อันนี้มันได้เห็นทุกแง่มุม ที่มันเกิดขึ้นในชีวิตช่วงนั้นมันเป็นเรื่องจริง

พลอย: พลอยว่ามันก็ต้องยอมรับให้ได้ เพราะชีวิตคนเรามันไม่มีใครดีหรือสวยงามทั้งหมด มันไม่ได้อยู่ในการ์ตูน มันก็มีหลากหลายรสชาติอยู่แล้ว ชีวิตคนเรามันไม่ได้สวยงามตลอดเวลาไม่งั้นมันคงไม่เป็นเรียลลิตี้โชว์

วงการบันเทิงสอนอะไรแก่เราบ้าง?

แอริน: มันทำให้แอเข้มแข็งขึ้น มันทำให้รู้สึกว่า ไม่ว่าใครจะพูดอะไร ถ้าคนที่เรารักเข้าใจเราก็แค่นั้นเอง ในเมื่อเราเอาตัวเองมาอยู่ในตู้ปลาอันนี้ เราก็ต้องยอมรับผลทั้งบวกและลบ แล้วตอนนี้เราก็เก่งมากพอที่จะให้เป็นเรียลลิตี้ แล้วก็มาหัวเราะต่อเหมือนขำชีวิตกันเอง

พลอย: มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องยอมรับทั้งบวกและลบ ณ วันนี้เรื่องอะไรก็ตามที่มันผ่านมามันก็จะหนักบ้าง เบาบ้าง แต่วันนี้เราต้องขอบคุณที่เรายังมีชีวิตอยู่ ต้องขอบคุณวงการบันเทิงที่ทำให้เราแข็งแกร่ง เพราะว่าเอาตรง ๆ มันค่อนข้างโหด ดูทางเกาหลีสิจบชีวิตกันไม่รู้เท่าไหร่ แต่ว่าเรายังเอาตัวรอดได้อยู่

ลิเดีย: เดียว่าสำหรับเราเดียและพี่แมท เข้าวงการบันเทิงตั้งแต่เด็ก เดียอายุ 18 พี่แมทก็ 20 เราเรียนรู้ทุกอย่างจากวงการบันเทิงเราเติบโตมากับมัน เราก็ไม่ได้รู้อย่างอื่นที่ไม่ใช่วงการบันเทิง เพราะว่าเราโตมากับสิ่งนี้ มันอยู่ในชีวิตเราตั้งแต่เด็ก เรื่องความสัมพันธ์ การทำงาน การใช้ชีวิต การที่จะต้องแสดงต่อหน้าคนเยอะ ๆ เราจะต้องวางตัวยังไง เราจะต้องสัมภาษณ์ยังไง เราจะสอนลูกยังไง มันสามารถเรียนรู้ได้ผ่านวงการบันเทิงมันคือความเข้าใจในทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘เราจะสอนลูกเรายังไง’ เพราะว่าเขาเกิดมาเขาอยู่ในสปอตไลต์ตั้งแต่อยู่ในท้องก็เป็นชีวิตที่เขาเลือกไม่ได้ เราจะสอนลูกยังไงให้เขาสามารถอยู่ได้แล้วเติบโตเป็นคนที่มีคุณภาพของสังคม ลูกโตมาในระดับที่ต่างจากเรานิดหนึ่งเพราะว่าเราก็มีอายุนิดนึง 18–20 ก็ผ่านโลกมาแล้วนิดหนึ่งแต่ไม่ต้องผ่านแสงสีตลอดเวลา แต่ว่าลูกเราเกิดมาคือเจอเลย เราก็ต้องประคับประคองเขาให้ยังเป็นเด็กปกติธรรมดา งานก็คืองาน ชีวิตจริงก็คือชีวิตจริง เราต้องให้เขาเป็นธรรมชาติของเขา

แมทธิว: เรียนรู้แทบทุกอย่างเลย ผมก็พึ่งเข้าวงการมาตอนอายุไม่เยอะเหมือนกันประมาณ 20 ปี มาจากออสเตรเลียเรียนจบจากที่นั่นก็มาเมืองไทย ก็เหมือนเข้าสู่วงการบันเทิงแบบไม่รู้ตัวเลยเริ่มจากเดินแบบ เปลี่ยนอาชีพมาโดยตลอดเป็น นักร้องบ้าง เล่นละครบ้าง พิธีกรบ้าง เปลี่ยนอาชีพมาเยอะผ่านมาแล้วหลายงาน ทำให้เราเจอคนหลายรูปแบบทำให้เราได้มีการพัฒนา หรือศึกษาทั้งคนและทั้งงานตลอดเลย มันให้ทุกอย่างจริง ๆ ทั้งความรู้ ประสบการณ์ ความทรงจำ มันให้เงิน มันให้ครอบครัว ให้มีลูก ทุกสิ่งทุกอย่างมันเริ่มจากการเข้าวงการบันเทิง แต่มันโชคดีตรงที่เราเจอคนเยอะมันทำให้เรามีไหวพริบที่ดี มีความระมัดระวังที่จะมีคนเข้ามาในชีวิตเรา อันนี้คือสำคัญเลยเพราะว่าผมเองก็ผ่านจุดนั้นมาแล้วเพราะว่าหลายคนพอทำงานในวงการบันเทิงพอมีชื่อเสียงแล้ว ก็จะหลงระเริงจะทำอะไรก็ได้ มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะสอนลูกให้เข้าใจตรงนี้ ถ้าเขาโตขึ้นมาเขาก็จะตัดสินใจได้ว่าอยากเป็นอะไรอาจจะอิ่มตัวกับวงการบันเทิง อาจจะอยากไปเป็น หมอ นักกีฬา แล้วแต่เขาเลย

นิยามความรัก หรือเคล็ดลับในการประคองชีวิตคู่

แมทธิว: เราไม่มีวิธีนะก็ทะเลาะกันเยอะ ๆ การทะเลาะก็ถือว่าเป็นการพูดคุย การระบาย ดีกว่าเก็บความรู้สึกที่เราไม่ชอบเอาไว้มันก็จะเก็บไปเรื่อย ๆ จนมันต้องระเบิดออกมา ผมว่าไม่ชอบอะไรก็บอกเลยมันจะได้เข้าใจกันมากขึ้น ต้องพยายามคุยกัน พยายามลดอะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิต คนนี้เขาคงไม่ได้ถูกใจเราทั้งหมดหรอก คงไม่คิดเหมือนเราทุกอย่างแหละ ต้องยอมรับว่านี่คือความคิดของเขา เราคิดไม่ตรงกันก็ไม่เป็นไรจะเปลี่ยนเขาให้คิดเหมือนเราคงเป็นไปไม่ได้

ลีเดีย: ต้องมีความเข้าใจกันและกันด้วยใจเขาใจเรา มีอะไรจะไม่เก็บเอาไว้ให้ทายเองว่าฉันโกรธอะไร  เดียจะเป็นคนที่ตรงอยู่แล้วมีอะไรก็บอกอาจจะโกรธบ่อยหน่อย แต่ครั้งหน้าก็จะไม่เกิดขึ้นอีกหรือว่าโกรธแล้วหายเร็ว จะไม่ค่อยโกรธนาน ๆ มีอะไรคุยกันใช้ความเข้าใจ ใช้เหตุผลคุยกันต้องยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น เราจะไม่เปลี่ยนเขา เขาจะไม่เปลี่ยนเรา ต้องคิดไว้เสมอว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่สบมบูรณ์แบบ แต่ว่าเรายอมรับในสิ่งบกพร่องเหล่านั้นได้หรือเปล่า

พลอย: ความรักคือการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน การเรียนรู้มันไม่มีที่สิ้นสุดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ชีวิต หรือความรักก็เองด้วย มันคือการทำความรู้จักคู่หูของเรา เขาได้เรียนรู้จากเราสิ่งที่สำคัญที่สุดพลอยว่ามันคือการยอมรับซึ่งกันและกัน เราไม่มีสิทธ์ไปขอให้เขาเปลี่ยนแปลงเพื่อเรา หรือจะขอให้เขาทำในสิ่งที่เราต้องการ และเราก็ไม่สามารถทำให้ใครมีความสุขทั้งหมดได้ ความรักมันต้องอยู่ตรงกลางถ้าเราเปลี่ยนไม่ได้ แต่เราพยามยามที่จะเป็นคนที่ดีขึ้นในเวอร์ชันของเรา พยายามเป็นในสิ่งที่เขาต้องการ ‘พยามยาม’ แต่ไม่ได้บอกว่าจะทำได้หรือไม่ได้ แค่พยามยามก็โชคดีมากพอแล้ว แล้วก็ความซื่อสัตย์สำคัญมาก ในทุก ๆ เรื่องจะต้องไม่โกหกกัน มีเรื่องอะไรก็พูดกันไม่ชอบให้เราทำอะไรก็พูด ไม่อยากให้เราเป็นคนนิสัยยังไงก็พูด  หรือความซื่อสัตย์อีกเรื่องก็คือ ความซื่อตรงต่อกันและกัน รักเดียว คู่เดียว เพราะสมัยนี้โลกมันถูกยั่วยุได้จากหลายทาง พลอยคิดว่าความซื่อสัตย์มันสำคัญมาก ๆ แต่พลอยเชื่อว่า ‘ถ้าเรารักคน ๆ หนึ่งแล้ว ถ้าเรารักเขามากพอ เราจะไม่มีทางไปสนใจหรือมองคนอื่นเลย เพราะเขาคือคนที่ใช่สำหรับเรา’

แอริน: ทุกคนน่าจะรู้ว่าแอแต่งงานแล้ว แต่กว่าจะมาเจอกว่าจะมาถึงทุกวันนี้ มันก็ไม่ได้สวยงามตลอดเวลา แต่ว่าสิ่งที่แอเรียนรู้ตลอดเวลาในการเดินทางความรักของแอคือมันต้องง่าย มันต้องไม่รู้สึกว่าเราฝืนมัน มันต้องรู้สึกว่ามันธรรมดามาก ๆ รักคือรักเป็นเพื่อนเป็นทุกอย่างของกันและกัน เราต้องไม่ฝืน เราต้องรู้สึกว่าสบายใจที่สุด ถ้ามันรู้สึกฝืนแค่แบบนิดหนึ่ง แปลว่ามันไม่ใช่แล้ว ทุกคนควรเจอความรักแบบนั้นค่ะมันคือความรักที่แท้จริง

ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ สามี-ภรรยา หลายบ้านที่เขาอยู่กันรอด สามีต้องเป็นคน ‘เกียมัว’ พี่แมทธิวเป็นไหม

แมทธิว: บ้านนี้ไม่มีครับ

ลีเดีย: ไม่มีคำว่า ‘กลัว’ เหรอคะ?

แมทธิว : ไม่มีคำว่า ‘กู’ นี่แหละครับ ถ้าเป็นต่างชาติ “Happy Wife Happy Life” ผมก็ยึดตามนี้ แต่ถ้าเขาจะเอาทุกอย่างที่ต้องการเลย ก็คงไม่มีใครรับได้ แบ่งปันกันไปในแต่ละเรื่อง แต่ยังไงก็เอนเอียงไปทางเขาหน่อย เพราะว่าผู้หญิงเป็นเพศที่มีความรับผิดชอบมากกว่าผู้ชายในเรื่องหลาย ๆ อย่าง ในเรื่องของการงาน การเงิน เก็บเงินไว้กับภรรยาปลอดภัยแน่นอนครับ เพราะไม่ได้ออกเลย

หลังจากมีลูกทั้งคู่มองอีกฝ่ายเปลี่ยนไหมจากวันแรกที่เจอ?

ลีเดีย: เปลี่ยนแน่นอนจากวันที่เราเริ่มต้นคบกันมันเหมือนเป็นโมเมนต์ของชีวิต เหมือนเราโตมาด้วยกัน พี่แมทอยู่ในชีวิตเดียมาเรียกได้ว่าเกินครึ่งชีวิตอยู่ด้วยกันตั้งแต่อายุ 18 จนโตขึ้นมา จนทำงาน แต่งงาน มีลูก ก็จะเห็นพี่แมทมาตั้งแต่ เจ้าชู้ เที่ยว ปาร์ตี้สุดมาก จนวันหนึ่งเราได้เห็นเขาเปลี่ยนบทบาทมาเป็นคุณพ่อ มันต่างมากเป็นมุมที่เราไม่เคยเห็นเหมือนเราเห็นเขาโตมากับเราด้วยหน้าที่ ที่เปลี่ยนไปเราก็จะเห็นมุมต่าง ๆ ที่เราไม่เคยได้เจอมาก่อน ถ้าให้เดียมองจากวันนั้นถึงวันนี้ก็ไม่คิดหรอกว่าพี่แมทจะเป็นคุณพ่อแบบนี้เขาเป็นคุณพ่อที่ลงมือทำจริง ๆ ชอบใช้เวลากับลูกจริง ๆ ซึ่งก็ไม่ได้เห็นในผู้ชายทุก ๆ คนที่เราสามารถปล่อยลูกไว้กับเขาได้แบบเต็มที่มาก เขาจะสามารถหาสถานที่ไปเที่ยว สอนลูกได้ แม้กระทั่ง เดมี่ เขาก็พาไปเข้าห้องน้ำได้สบายเรารู้สึกว่าไม่คิดจะได้เห็นด้านนี้ของเขา

แมทธิว: การมีลูกทำให้เราเปลี่ยนไปในทางที่ดีแน่นอน มันคือการรับผิดชอบชีวิตอีก 2-3 ชีวิต เราจะต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเขา แม้กระทั่งการพูดจาต่อหน้า การกระทำต่าง ๆ เพราะว่าเด็กเห็นอะไรเขาจะซึมซับเร็วและจะเลียนแบบ เพราะฉะนั้นมันคือสิ่งที่คอยเตือนสติตัวเองอยู่ทุกวันนี้ เอาจริง  ๆ มันเกิดจากเพื่อน ๆ หลายคนของผมที่มีลูกมาก่อนเขาจะคอยบอกว่า ลูกวัยนี้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ยังอยากอยู่กับเรา ยังยอมที่จะให้หอม ให้จูบ มันจะมีวันที่เขาไม่เอาแล้ว อายแล้ว เพราะฉะนั้นเก็บมันไว้ให้มากที่สุด

ฝากรายการ ‘Deane’s Dynasty’ หน่อย

แมทธิว: ยังไงก็ฝากติดตามนะครับเริ่ม 6 ตุลาคมนี้ ผ่านทาง HBO Go สามารถดูตั้งแต่วันที่ 6 นี้ มีถึง Episode 8 เลยตั้งแต่ Episode 1 กราฟจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะเป็นเรื่องราวเบื้องลึก เบื้องหลังของครอบครัวเราติดตามชมได้นะครับ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส