ในขณะที่ Disney และ Fox เร่งเดินหน้าปรับไทม์ไลน์ของแฟรนไชส์ ‘X-Men’ ใหม่ให้เข้ามาอยู่ในจักรวาล MCU (Marvel Cinematic Universe) ล่าสุด แมทธิว วอห์น (Matthew Vaughn) ผู้กำกับ ‘Kick-Ass’ (2010), ‘Kingsman: The Secret Service’ (2014) และ ‘X-Men: First Class’ (2011) ได้เข้าร่วมงาน New York Comic Con เพื่ออัปเดตความคืบหน้าโปรเจกต์ ‘Kingsman 3’ และ ‘Kick-Ass’ เวอร์ชันรีบูต รวมถึงได้เปิดเผยข้อมูลเบื้องหลังเรื่องวุ่นวายที่ทำให้เขาตัดสินใจออกจากโปรเจกต์ ‘X-Man: The Last Stand’ ที่เขามาแทน ไบรอัน ซิงเกอร์ (Brian Singer) เมื่อปี 2005

วอห์นได้อ้างว่า ในระหว่างการเจรจารอบใหม่กับ แฮลลี เบร์รี (Halle Berry) นักแสดงหลักของเรื่องผู้รับบท Storm ใน ‘X-Men’ ภาคต้นฉบับเมื่อปี 2000 และ ‘X2’ เมื่อปี 2003 นั้น ทางผู้บริหาร Fox ได้นำสคริปต์ปลอมไปเสนอให้แก่นักแสดงเพื่อดึงความสนใจให้เธอตัดสินใจกลับมาเซ็นสัญญาอีกครั้ง โดยมีฉากเปิดเรื่องอย่างที่เบร์รีต้องการรวมอยู่ด้วย

“หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมต้องออกจาก ‘X-Men 3’ และเป็นเรื่องจริง คือฮอลลีวูดมันเป็นเรื่องการเมืองและกลอุบายอย่างแท้จริง ตอนนั้นผมเดินทางไปที่อออฟิศผู้บริหารและได้เห็นสคริปต์ของ ‘X3’ และมันหนามาก ผมถามว่าที่ร่างบทอะไร พวกเขาก็ตอบว่า “อย่ากังวลไปเลย””

“ผมจึงหยิบสคริปต์นั้นไปเปิดอ่านหน้าแรก และผมก็เห็นว่า “แอฟริกา เด็ก ๆ กำลังจะตายเพราะขาดน้ำ จากนั้น Storm ก็สร้างพายุฝนฟ้าคะนองขึ้นและช่วยชีวิตเด็ก ๆ ไว้” ผมคิดว่ามันเป็นไอเดียที่เจ๋งทีเดียว ผมกล่าวว่า “นี่อะไรกัน” พวกเขาก็บอกว่า “นี่เป็นสคริปต์อย่างที่ แฮลลี เบร์รี อยากจะเห็น เพราะเธอยังไม่เซ็นสัญญา นี่เป็นสิ่งที่เธอต้องการให้ใส่ลงไป และเมื่อเธอเซ็นสัญญาแล้ว เราจะทิ้งมันลงถังขยะ””

“ผมคิดว่า ถ้าคุณทำอย่างนั้นกับนักแสดงระดับออสการ์ที่รับบท Storm แล้วนั้น ผมขอออกจากโปรเจกต์”

Matthew Vaughn X-Men
แมทธิว วอห์น ในกองถ่าย ‘X-Men: First Class’ (2011) : ภาพจาก iMDB

วอห์นได้แสดงออกถึงการต่อต้านการหลอกลวงเบร์รีอย่างจริงจัง และทำให้เขาลาออกจากโปรเจกต์เพื่อไปสร้าง ‘Stardust’ (2007) แทน ซึ่งดัดแปลงจากนิยายแฟนตาซีของ นีล ไกแมน (Neil Gaiman) และเขายังได้เปิดเผยว่า ผู้บริหารยังได้กล่าวตอนที่เขาลาออกจากโปรเจกต์ ‘X-Men: The Last Stand’ ว่า “คุณจะไม่ได้ทำงานในเมืองนี้อีกแล้ว” (You’ll Never Work in This Town Again) ซึ่งเป็นคำคมจากภาพยนตร์ ‘Mannequin’ เมื่อปี 1987

วอห์นยังได้กล่าวต่อไปว่า เขาคิดว่า ‘X2’ นั้น เป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซ และทำให้เขากังวลมากตอนที่ต้องมาแทนซิงเกอร์ใน ‘X-Men: The Last Stand’ และกล่าวถึงไอเดียดั้งเดิมว่าจะนำฉากสะพานโกลเดนเกตที่ปรากฏในตอนท้าย ‘X-Men: The Last Stand’ เวอร์ชันสุดท้ายของผู้กำกับ เบร็ต แรตเนอร์ (Brett Ratner) ไปใส่ในองค์ที่ 2 และมีไอเดียเกี่ยวกับฉากต่อสู้สุดบ้าระห่ำสุดท้ายในวอชิงตันอีกด้วย

ท้ายที่สุด วอห์นได้กลับมาสร้างภาพยนตร์ในแฟรนไชส์ ‘X-Men’ อีกครั้งใน ‘X-Men: First Class’ โดยเป็นการรีบูตแฟรนไชส์ใหม่ด้วยทีมนักแสดงที่เล่าเรื่องในช่วงเวลาที่แตกต่างออกไป เขาเผยเหตุผลที่ทำให้เขากลับมาในแฟรนไชส์นี้อีกครั้งว่า

“คนที่บอกกับผมว่า “คุณจะไม่ได้ทำงานในเมืองนี้อีกแล้ว” นั่นแหละ ได้ชม ‘Kick-Ass’ และโทรหาผมว่า “ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นตอนที่พูดไปตอนนั้น”

นั่นทำให้วอห์นพิสูจน์ว่าเขาสามารถสร้างความสดใหม่ให้แก่แฟรนไชส์ได้อีกครั้ง ซึ่งส่วนหนึ่งต้องขอบคุณการคัดเลือกทีมนักแสดงชุดใหม่ที่ประกอบด้วย เจมส์ แม็กอะวอย (James McAvoy), ไมเคิล ฟัสเบ็นเดอร์ (Michael Fassbender) และ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence) แต่น่าเสียดายที่แฟรนไชส์นี้จบไม่สวยนักกับ ‘X-Men: Dark Phoenix’ เมื่อปี 2019

ที่มา : ScreenRant

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส