‘4 KINGS 2’  กลายเป็นหนังที่กำลังเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง หลังจากเปิดตัววันแรกทำเงินไปสูงถึง 19 ล้านบาท ผ่านไป 2 สัปดาห์หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ด้วยตัวเลขรายได้ที่ทะยานขึ้นเกือบจะแตะหลัก 200 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางกระแสดราม่าของตัวหนัง ที่คนจำนวนไม่น้อยมองว่ามีการใช้ความรุนแรงเป็นสื่อกลางนำเสนอ

beartai BUZZ ได้มีโอกาสนั่งพูดคุยเปิดใจกับ พุฒิ-พุฒิพงษ์ นาคทอง ผู้กำกับ ‘4 KINGS 2’ เกี่ยวกับเบื้องหลังการสร้างหนังเรื่องนี้ รวมถึงเผยความตั้งใจและเมสเสจที่เขาและทีมงานหวังจะส่งให้ถึงคนดู

โปรเจกต์ ‘4 Kings 2’ เริ่มตอนไหน

พุฒิ: เป็นไอเดียตั้งแต่ตอนภาคแรก หลังจากที่ผมไปเจอพี่แหลม (สมพล) ที่บ้าน เราเห็นพี่แหลมแล้วผมก็คุยกับทางพี่โปรดิวเซอร์พี่ทอม (ฐณะวัฒน์ ธรรมปรีชาพงศ์) คือเราเห็นแววตาเขา เราเห็นพลังงานของตัวศิลปินแล้ว เราก็บอกเลยว่าพี่แหลมมีของเราควรเก็บไว้ เราควรที่จะเล่นอะไรกับตัวละครตัวนี้ต่อ ตอนที่ถ่ายซีนสุดท้ายของพี่แหลมตอนภาคแรก คือเราแค่ถ่ายเก็บไว้ เราไม่คิดหรอกว่า ‘4 Kings’ ภาคแรกจะประสบความสําเร็จแบบนั้น เราไม่คิดว่าเราจะมีภาค 2 แต่เราแค่เหมือนไกด์ไว้เผื่ออนาคตจะมี เผื่อจะมีใครเมตตาให้ทําต่อ

ไอเดียตั้งต้นของภาค 2

พุฒิ: ภาค 2 ถูกวางโดยที่ผมมาบอกให้ทางทีมเขียนบทแล้วก็ทีมผู้ช่วย ไปเอาคอมเมนต์แง่ลบมาพัฒนาปรับปรุงเพื่อจะเป็นภาค 2 ส่วนภาคแรกเราเล่าพาร์ตกลางวันไปหมดแล้ว เราไม่จะซ้ำรอยเดิม มันไม่มีอะไรใหม่สําหรับคนดู ผมก็เลยคิดว่านักศึกษาภาคค่ำมันค่อนข้างที่จะดุ แล้วก็โหดร้ายกว่า มันเปลี่ยนทั้งโทนภาพและก็ตัวเนื้อเรื่องหมดเลย ผมเอาเหมือนกับรอยรั่วจากภาคแรกมาพัฒนาบทด้วย แล้วก็จะเติมเต็มเรื่องความดราม่ามากขึ้น ดราม่าเนี่ยขาดไม่ได้แน่นอนเพราะว่าหนังสไตล์แนวนี้ถ้ามันไม่มีดราม่าหรือไม่มีอะไรมันก็จะกลายเป็นหนังที่ออกมาตีกัน แล้วก็ไร้เหตุผล เราก็มาปรับปรุงพัฒนาให้มากขึ้น

‘4 Kings’ ภาคแรกประสบความสำเร็จมาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้รับคอมเมนต์ในแง่ลบ

พุฒิ: ต้องบอกว่าผมก็รู้สึกดีใจครับ แต่ฟีดแบ็กมันก็มี 2 อย่าง กลุ่มที่ชื่นชอบแล้วก็สนับสนุนก็มี ซึ่งตรงนี้ผมก็ต้องขอขอบคุณมาก แต่มันก็ยังมีฟีดแบ็กที่ยังเป็นทางลบอยู่

มันก็จะมีแบบว่า เหมือนกับหนังเล่าอะไรก็ไม่รู้ ยัดเยียดไม่ปะติดปะต่อ หรือว่าหนังเบาไป ไปไม่สุด แต่คอมเมนต์เหล่านี้ ผมเข้าใจได้คือมันเป็นคอมเมนต์ที่ถึงจะเป็นลบ แต่เป็นทางบวกทําให้เราปรับปรุงได้ แต่คอมเมนต์ที่ลบแล้วทําให้ผมรู้สึกเสียใจกับทีมงานก็คือ เขายังไม่ได้ดูหนัง แต่คือตีตราเราไปก่อนแล้วว่าหนังไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ ทํามาทําไมยุยงส่งเสริม

ยังมีหลายคนมองว่า ‘4 Kings’ คือหนังที่ส่งเสริมการใช้ความรุนแรง

พุฒิ: ที่เขามองคือปลายเหตุหมดเลย เราตัดคําว่าเด็กอาชีวะออกนะเด็กและเยาวชนเหล่านี้พฤติกรรมเหล่านี้มีทุกปี มันมีมาตลอด เพียงแต่พอเราสวมคําว่าเป็นอาชีวะไปปุ๊บ สังคมหรือว่าสื่อต่าง ๆ ก็จ้องจะเล่น เขาไม่ได้มองว่าต้นเหตุของพฤติกรรมของเด็กเหล่านั้นมันเกิดมาจากอะไร ซึ่งผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าทั้งภาค 1 รวมถึงภาค 2 มันมีต้นเหตุของพฤติกรรมเด็กเหล่านี้แน่นอน

จริง ๆ หนังภาค 2 ผมมีคําตอบครับ มันจะมีตัวละครที่ จี๋ สุทธิรักษ์ เล่นเป็น รก บุรณพนธ์ ต้องไปดูครับว่าทําไม รกถึงทําพฤติกรรมอย่างนี้ ซึ่งสังคมมักจะโทษที่ปลายเหตุ แต่เราไม่ได้มองต้นเหตุซึ่งต้นเหตุจริง ๆ ครอบครัวคือสิ่งสําคัญที่ทําให้เกิดพฤติกรรมเหล่านี้

ผมไม่ค่อยได้บอกหลาย ๆ สื่อ จริง ๆ ผมจบช่างมาแล้วผมก็ไปต่อจิตวิทยา ด้วยความที่ผมเป็นช่าง ผมทําวิทยานิพนธ์จบว่า ปัจจัยที่ทําให้เกิดพฤติกรรมความรุนแรงในกลุ่มเด็กอาชีวะ 80% มาจากครอบครัวทั้งหมดเลย ครอบครัวในที่นี้คือบางทีพ่อแม่เขาเขาอาจจะเลี้ยงดูดี พ่อแม่อาจจะแบบว่าเลี้ยงลูกด้วยเงิน อาจไม่ได้ดูแลใจใส่ ซึ่งตรงเนี้ยมันก็กลายเป็นแบบว่าสิ่งที่จะมาดูแลต่อก็คือสถาบัน

สร้างหนังเพื่อหวังเตือนสติคน

พุฒิ: จริง ๆ หนังผมมันก็ไม่สามารถสอนใครได้ทุกคน 100 ปอร์เซ็นต์ แต่ผมขอแค่ 10 หรือ 20 เปอร์เซ็นต์ หรือคนดูที่มองเข้ามาและเข้าใจว่า อ๋อ! สิ่งเล็ก ๆ ที่มันทําให้เกิดพฤติกรรมเหล่านี้ คือมันก็คือเรื่องเล็ก ๆ ที่หลายคนมองข้ามไป มันเป็นเรื่องใต้พรมที่ซุกอยู่มานาน แต่เราไม่เปิดขึ้นมาเล่า แล้วผมแค่เปิดขึ้นมาหมดแล้วสะท้อนให้เขาเห็น ส่วนใครจะคิดได้หรือคิดไม่ได้มันอันนี้แล้วแต่ตัวบุคคลเลย

คิดยังไงที่มีคนตีกัน เพราะดูหนังเรื่องนี้

พุฒิ: ต้องแยกเป็นเคส เด็กที่ออกมาแล้วตะโกน “อินโว้ย” คือเขาแค่อินกับหนังแล้วออกมาพูดล้อหนัง แต่เขาไม่ได้ ไปตะโกนว่า “มึงเอาเปล่า!” กับคนอื่น แต่ส่วนที่ออกมาปุ๊บ แล้วเขาไม่เข้าใจคือตะกอนความคิดของคนในการที่ดูมันมีไม่เท่ากันอยู่แล้ว คือถ้าจะไปเหมาหมดว่าเด็กดูเรื่องนี้แล้วออกมาตีกัน ถ้าถามว่ามันมีไหมผมก็ยอมรับตรง ๆ ว่ามี แต่ต้องดูเปอร์เซ็นต์ว่ามันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ ที่จะต้องมาโจมตีหรือว่าตัวหนัง

มันห้ามไม่ได้อะ แต่อยากให้มองส่วนดี ๆ ที่เขาแบบว่า จากคนที่เป็นคู่อริกันมาดูร่วมกันแลกเปลี่ยนชอปคืนซึ่งกันและกัน หรือครอบครัวที่พาลูกมา พ่อแม่สอนลูก ผมว่าโมเมนต์แบบนี้มีเยอะมาก แต่ไม่ค่อยถูกนํามาเล่า

เราจะได้มีโอกาสดู ‘ 4 Kings 3’ ไหม

พุฒิ: ภาคนี้จะเป็นภาคสุดท้ายแล้ว ผมจะไม่ทํา ‘4 Kings’ ต่ออีกแล้ว

วางแผนสำหรับโปรเจกต์ต่อไปหรือยัง

พุฒิ: หนังที่ผมอยากทำต่อ ก็คงสไตล์นี้ครับ แบบที่ผมทําอยู่ มันเป็นสไตล์ที่ผมรู้สึกว่าผมทําแล้วเข้ามือมากที่สุด โปรเจกต์ที่ผมอยากจะเล่าต่อไป ก็คือโปรเจกต์เกี่ยวกับเรือนจําครับ

ฉากตีกันถือเป็นไฮไลต์ของ ‘4 Kings’ ซึ่งมีความสมจริงอย่างมาก คุณมีการดีไซน์ซีนเหล่านี้อย่างไร

พุฒิ: อย่างภาคแรกด้วยความที่ผมยังใหม่มาก ๆ บางทีอาจจะปล่อยคิวให้เล่นกันเองเลย ซึ่งมันค่อนข้างมีความอันตราย แล้วผมก็ไม่สามารถเล่นสูตรเดิมในภาค 2 ได้ เพราะว่าพัฒนาการของของทั้งตัวผมและทีมงานมันอาจจะต้องโตขึ้น ที่สําคัญมันไม่เซฟนักแสดงด้วย ภาค 2 ผมเลยมีการดีไซน์ให้มันเป็นคิวมากขึ้น แต่เราก็จะมีวิธีอื่นมาดึงอารมณ์คนดูด้วยการใช้เอฟเฟกต์ต่าง ๆ

แสดงว่าซีนแอ็กชันในภาคแรก เป็นคิวสด ๆ เลย

พุฒิ: ส่วนมาก 80 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นอย่างนั้น เพราะเราอยากได้ความสมจริง คือมันทํางานกับคนดูจริง ๆอย่างซีนคอนเสิร์ต 7 สี เราปล่อยให้เรียลกันจริง ๆ แต่พอมาภาค 2 เราทําอย่างงั้นไม่ได้แล้ว มันอันตรายครับ เรารู้ตัวเองแล้วว่าเราไม่ควรทําอย่างนั้น

โมเมนต์ประทับใจที่สุด

พุฒิ: ทุกคนในที่นี้คือตั้งแต่ตัวหลักยันพี่ ๆ เอ็กซ์ตราทั้งหมด พวกเขาให้ผมเกินกว่าที่ผมต้องการ ให้มากกว่าคําว่าการแสดงครับ มันคือเพื่อนและก็พี่น้องที่มาช่วยกันทําให้ภาค 2 สมบูรณ์แบบ ส่วนซีนที่ประทับใจมากที่สุดก็น่าจะเป็นซีนจบของเรื่อง ก็จะมีพี่ทราย เจริญปุระ, พี่ต๊อบ สหัสชัย, พี่แหลม และก็บิ๊กครับ คือ 4 ท่านนี้เขาเล่นกันแบบเต็มที่ เล่นจนแบบบางทีเรารู้สึกว่าคือ เราก็อยากจะเซฟคืออันนี้ผมขอยกเครดิตให้ทางพี่ต๊อบครับ ถ้าดูในหนังคือเขาอาจจะต้องคลานมา แต่เราแบบกลัวว่าพื้นมันมีหินกรวด เราก็บอก “พอพี่พอแค่นี้” แต่เขาบอกว่า “เฮ้ยไม่ได้” เขาต้องการให้สุด ซึ่งมันออกมาดีกว่าที่เราคิด มันเกินคาดและนักแสดงช่วยกันครับ ช่วยจนบางสิ่งมุมเล็ก ๆ ที่เราไม่คิดว่ามันจะไต่ไปได้เบอร์นี้ เขาช่วยเราจนแบบมันออกมาแบบน้ำตาไหลครับ หมายถึงตัวผมเองรวมถึงทีมงานน้ำตาไหลตรงนั้นเลย

‘4 Kings’ ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยไม่ต้องใช้นักแสดงระดับแม่เหล็กเลย คุณเคยกังวลเรื่องนี้ไหม

พุฒิ: เรื่องนักแสดงผมไม่กังวลเลย ตอนตอนแรกอาจจะมีกังวลอยู่บ้าง แต่พอได้มาเข้าห้องเวิร์กช็อป ผมค่อนข้างจะมั่นใจเลยว่านักแสดงภาค 2 เขาก็ไม่ยอมภาคแรก แล้วพวกเขาก็เต็มที่กับผมมาก ๆ

ฝากผลงานหน่อย

พุฒิ: ผมตอบเรื่องเหตุผลที่เข้าไปดูไม่ได้เลย คือทุกคนตั้งใจกันมาก ๆ คนทำหนังบ้านเราครับคือเหนื่อยกันมาก ๆ นะครับ คือผมอยากจะบอกด้วย หลาย ๆ คนอาจจะชอบเปรียบเทียบเรากับหนังต่างประเทศ แต่ผมอยากจะพูดเป็นตัวแทนพูดให้คนโปรดักชัน เราเหนื่อยกันมาก ๆ เรามีทุนแค่นี้ แต่เราจะต้องถูกไปเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ซึ่งการทํางานของพวกเราเหนื่อยกันมาก แค่มาอุดหนุนเราเถอะครับ มาดูเราเถอะ ไม่ว่าจะเป็นหนังเรื่องนี้หรือหนังเรื่องอื่น ผมว่าสิ่งเล็ก ๆ เนี่ยมันสามารถเติมเต็มทั้งตัวคนดู แล้วก็ตัวคนผู้สร้างครับ

ถ้าจะถามว่าพอใจมากกว่าภาคแรก อันนี้ผมตอบลําบากแต่ผมพอใจกับการเติบโตของเรา การพัฒนาของเรา รวมถึงทีมงานนักแสดงที่มาร่วมกับเรา แต่ตัวงานผมตอบไม่ได้ต้องให้ทางคนดูเป็นคนตัดสินใจ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส