ณ เวลานี้ เหลือเวลาอีกไม่กี่สัปดาห์ ก็จะได้ทราบแล้วว่า หนังเรื่องไหนที่ถูกใจคณะกรรมการ คว้ารางวัลออสการ์ไปได้มากที่สุด และหนังเรื่องไหนจะได้รับรางวัลในสาขาที่ใหญ่ที่สุดอย่างสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่ง 1 ใน 10 หนังที่มีชื่อเข้าชิงก็คือ ‘Barbie’ (2023) ที่มีชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ทั้งหมด 8 รางวัล เสียดายที่ 2 หัวเรือใหญ่ทั้ง เกรตา เกอร์วิก (Greta Gwerwig) ผู้กำกับและเขียนบท รวมทั้งนักแสดงนำและโปรดิวเซอร์อย่าง มาร์โกต์ ร็อบบี (Margot Robbie) กลับไม่ได้มีชื่อเข้าชิงในสาขาใหญ่ ๆ

แต่ก่อนจะถึงค่ำคืนวันนั้นตามเวลาต่างประเทศ หนังเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นที่สนใจของคอหนังมากมาย เห็นได้จากการที่เหล่านักแสดงก็ยังคงเดินสายให้สัมภาษณ์กันอยู่เรื่อย ๆ แม้ว่าหนังจะฉายมาค่อนปี และมีให้ชมผ่านทางสตรีมมิงเรียบร้อยแล้ว ล่าสุด ในพอดแคสต์ ‘Happy Sad Confused’ ตอนพิเศษที่เชิญทีมนักแสดงจาก ‘Barbie’ แบบตัวเป็น ๆ ได้แก่ ไรอัน กอสลิง (Ryan Gosling) ผู้รับบท เคน, อเมริกา เฟอร์เรรา (America Ferrera) ผู้รับบทเป็น กลอเรีย, เคต แม็กคินนอน (Kate McKinnon) ผู้รับบท บาร์บี้เพี้ยน และ ไมเคิล เซรา (Michael Cera) ผู้รับบทเป็น อลัน (Allan) มาสนทนากันแบบเป็น ๆ ท่ามกลางผู้ชมมากมาย

ฉากที่เขาพูดถึงก็คือ ฉากที่คู่แม่ลูก กลอเรีย และซาชา (อาเรียนา กรีนแบลตต์ – Ariana Greenblatt) กำลังนั่งรถยนต์ของบาร์บี้ (มาร์โกต์ ร็อบบี – Margot Robbie) หลบหนีจากบาร์บี้แลนด์ (Barbieland) ที่ถูกเคนยึดและเปลี่ยนเป็นเคนแลนด์ (Kenland) จังหวะที่รถแล่นไปตามถนน อลันที่แอบอยู่ท้ายรถโผล่มาเพราะต้องการจะหลบหนีด้วยเช่นกัน จนกระทั่งรถแล่นไปพบกับเหล่าช่างเคนที่กำลังก่อสร้างกำแพงเมือง อลันจึงได้เข้าไปใส่เดี่ยวกับช่างเคนจนราบคาบ แต่สุดท้าย แม่และลูก และอลัน ก็ตกลงที่จะกลับไปช่วยบาร์บี้ เพื่อปกป้องบาร์บี้แลนด์แทน

ในฉากนี้ เราจะได้เห็นนักแสดงหนุ่มอย่างเซรา แสดงฉากแอ็กชัน (ที่เรียกว่าเป็นฉากบู๊ที่จริงจังที่สุดในเรื่องแล้วล่ะ) แต่แม้ว่านี่จะเป็นฉากที่เด่นที่สุดของอลัน ตัวละครที่ถูกหมางเมินตั้งแต่เริ่มเรื่อง แต่ที่น่าทึ่งก็คือตามแผนเดิม เซราจะไม่ได้เล่นฉากบู๊นี้ด้วยตัวเอง แต่จะเป็นฉากที่มีแขกรับเชิญอย่าง เบน แอฟเฟล็ก (Ben Affleck) หรือแบทแมนสุดล่ำฉบับ Snyderverse ของ DCEU มาปรากฏตัวเป็น Cameo เล่นฉากบู๊ให้แทนต่างหาก แต่สุดท้าย Batfleck ก็มาปรากฏตัวไม่ได้ เพราะเขาติดโปรเจกต์หนัง Biopic เรื่อง ‘Air’ (2023) ที่เขากำกับ ร่วมแสดง และร่วมเป็นโปรดิวเซอร์อยู่นั่นเอง

Michael Cera 'Barbie'

“คือจริง ๆ ผมไม่ควรจะต่อสู้ในหนังเลยด้วยซ้ำน่ะครับ คือผมได้รับอนุญาตให้พูดสิ่งนั้นมั้ยนะ ? น่าจะเป็น เบน แอฟเฟล็ก ใช่ไหม ? ผมได้รับอนุญาตให้พูดได้ใช่มั้ยเนี่ย ? ผมคิดว่าเบนเองก็คงอยากมานะครับ แต่เขากำกับหนังอยู่น่ะ จนเส้นยาแดงผ่าแปด (ทีมงาน) ถึงเข้ามาบอกผมว่า ‘โอเค ตอนนี้เบนไม่มาแล้วนะ ด้วยเหตุผลบางอย่าง คุณต้องเล่นฉากต่อสู้กับพวกเขาด้วยนะ’ ผมก็เลยต้องกระโดดไปร่วมทีมสตันท์”

“แล้วตอนนั้นผมเพิ่งจะหายจากโควิดด้วยนะ พวกเขาให้ผมลองซ้อม คือแค่วอร์มอัปเฉย ๆ ผมยังเกือบตาย! ผมต้องนอนพักในรถเทรลเลอร์ แล้วพวกเขาก็ส่งพยาบาลมาดูแลผม ก่อนที่ผมจะถูกส่งกลับบ้าน ก็เลยต้องมีการซ้อมอีกเป็นครั้งที่ 2 และผมก็เลยได้เรียนรู้มากขึ้น เรื่องก็ประมาณนี้ล่ะครับ”

“นั่นมันไม่ใช่แผนของอลันเลยครับ ตอนการซ้อม ผมต้องเล่นช็อตที่ใช้พลั่วฆ่าผู้ชายคนนั้น แล้วมันก็ออกมาดูตลกมาก พวกเราเลยแซวกันว่า ‘เกรตาคงไม่ยอมให้ผมฆ่าใครสักคนในหนังเรื่องนี้หรอก’ และสุดท้าย มันก็ดันไปอยู่ในหนังเฉย”

เซราไม่ได้ระบุว่า เกอร์วิกหรือทีมงานอยากให้แอฟเฟล็กมารับบทไหน เป็นเคนอีกคน หรือรับบทอะไรกันแน่ ซึ่งนอกจากนี้ ก็ยังมีนักแสดงอีกหลายคนที่เกือบได้มาร่วมรับเชิญด้วย ตั้งแต่ เซอร์ชา โรนัน (Saoirse Ronan) และ ทีโมธี ชาลาเมต์ (Timothée Chalamet) นักแสดงคู่บุญของเกอร์วิก รวมทั้ง เฮเลน เมียร์เรน (Helen Mirren) เจ้าของเสียงบรรยายในหนัง ที่มาปรากฏตัวในฉาก Post-Credits ที่ถูกตัดออกไปภายหลังนั่นเอง

แต่แม้ว่าจะไม่รู้แน่ชัดว่าแอฟเฟล็กจะมาปรากฏตัวในบทบาทไหน แต่สิ่งที่เชื่อมโยงกันอย่างไม่น่าเชื่อระหว่างเขากับหนังเรื่องนี้ก็คือ ในฉากหนึ่งของหนังเรื่องนี้ก็มี Easter Egg ที่มีบาร์บี้คนหนึ่งพูดล้อเลียนหนัง ‘Zack Snyder’s Justice League’ (2021) ที่แอฟเฟล็กแสดงนำกันแบบจะ ๆ

ซึ่งนี่ก็จะไปคล้ายคลึงกับบทดั้งเดิม ที่ที่เกอร์วิกเคยเปิดเผยว่า ในแผนเดิมจะไม่ได้มีมุกพูดแซว Justice League แต่ตัวหนังจะเล่นใหญ่กว่านั้นด้วยการเล่นมุกแซวหนังไซไฟดิสโทเปียในตำนาน ‘Blade Runner’ (1982) ด้วยไดอะล็อกที่ว่า “ตุ๊กตาบาร์บี้ตัวหนึ่งพูดกับเคนว่า ‘โอ้พระเจ้า ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเด็คการ์ดจะเป็นมนุษย์เทียม (Replicant)” และจะเล่นไปสุดเบอร์ด้วยการเชิญผู้กำกับเจ้าของหนังอย่าง ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) มาเป็น Cameo แบบเดียวกับแอฟเฟล็กนั่นเอง


ที่มา: Entertainment Weekly, Screen Rant, Total Film

***