แม้ว่าภาพยนตร์แอ็กชันดราม่าเครื่องบินรบ ‘Top Gun: Maverick’ (2022) จะกลายเป็นหนังที่ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดเรื่องหนึ่งในยุคหลังโรคระบาด ด้วยรายได้ Box Office อันดับ 2 ของปี 2022 ถึงกว่า 1,496 ล้านเหรียญ แถมยังกลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของนายห้าง ทอม ครูซ (Tom Cruise) ผู้รับบทเป็น กัปตันพีต มิตเชลล์ (Capt. Pete Mitchell) หรือ มาเวอร์ริก (Maverick) และในฐานะโปรดิวเซอร์ รวมทั้งค่ายเจ้าของหนังอย่าง Paramount Pictures ที่ดีใจจนประกาศให้ไฟเขียวเริ่มสร้าง ‘Top Gun 3’ โดยได้ โจเซฟ โคซินสกี (Joseph Kosinski) มานั่งเก้าอี้ผู้กำกับต่ออีกภาค และได้ทีมนักแสดงชุดเดิมกลับมาในภาคใหม่นี้ด้วย

แต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นความน่ายินดีสำหรับทุกคนทุกฝ่ายเสมอไป เพราะด้วยความที่หนังเรื่องนี้มีการให้ความเคารพใน ‘Top Gun’ ภาคแรก ผลงานการกำกับของ โทนี สก็อตต์ (Tony Scott) ที่ออกฉายในปี 1986 หรือเมื่อ 38 ปีที่แล้วในหลาย ๆ จุด แม้ว่าในภาคนี้จะมีนักแสดงจากภาคแรกกลับมาแค่คนเดียว นั่นก็คือ วาล คิลเมอร์ (Val Kilmer) เจ้าของบท ไอซ์แมน (Iceman) จากภาคแรก กลับมารับบท พลเรือเอก ทอม คาซานสกี (Adm. Tom Kazansky) ผู้บัญชาการกองเรือภาคพื้นแปซิฟิกในภาคนี้

นอกจากนี้ก็ยังมีบรรดา Easter Egg จากภาคแรกที่ปรากฏอยู่ในหนัง และนั่นก็นำไปสู่ความไม่พอใจ แบร์รี ทับบ์ (Barry Tubb) นักแสดงภาพยนตร์ นักแสดงโทรทัศน์ และผู้กำกับ วัย 61 ปี ที่รู้จักจากการเป็นนักแสดงเจ้าของบท เรือโท ลีโอนาร์ด วูฟ หรือ วูฟแมน (Wolfman) นักแสดงจาก ‘Top Gun’ ภาคแรก ที่ได้ทำการยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก Paramount Pictures กับศาลของรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในข้อหาการนำภาพลักษณ์ของเขาจากภาคแรกไปใช้ใน ‘Top Gun: Maverick’ โดยไม่ได้รับอนุญาต

Val Kilmer, Barry Tubb, and Tom Cruise in 'Top Gun'

ตามเอกสารคำฟ้องระบุว่า ฉากในหนังที่เป็นปัญหาก็คือฉากในชั้นเรียนความยาว 44 วินาที ในจังหวะที่ตัวละคร แฮงแมน (Hangman) นักบินฝีกหัดของ Top Gun ที่รับบทโดย เกล็น พาวล์ (Glen Powell) กำลังชี้ชวนให้ ไคโยตี (Coyote) (เกร็ก ทาร์ซาน เดวิส – Greg Tarzan Davis) ดูภาพถ่ายรวมของนักเรียน Top Gun รุ่นปี 1986 ซึ่งในนั้นปรากฏภาพของเพื่อนร่วมรุ่นนักบินท็อปกัน ทั้ง มาเวอร์ริก, ไอซ์แมน, กูส (Goose) รวมทั้งตัวละครวูฟแมน ที่รับบทโดยทับบ์อีกด้วย

โดยเอกสารดังกล่าว ผู้ร้องระบุว่า Paramount Pictures ได้ละเมิดข้อตกลงที่เขาได้ลงนามในสัญญายินยอมให้ใช้ภาพลักษณ์ของเขาเฉพาะในภาพยนตร์ภาคแรกเท่านั้น และสตูดิโอไม่เคยกล่าวถึงการสร้างภาคต่อในสัญญาฉบับดังกล่าวแต่อย่างใด ทำให้ผู้ร้องมองว่านี่เป็นการละเมิดตามสิทธิ์และข้อตกลงในสัญญาในการใช้ภาพลักษณ์ ความคล้ายคลึง และ/หรือตัวตนของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตในการโปรโมต โฆษณา ทำการตลาด เพื่อทำให้เข้าใจผิดและหลอกลวงว่าผู้ร้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว

ในเอกสารดังกล่าวยังระบุด้วยว่า รูปภาพดังกล่าวเป็นภาพระยะใกล้ 4 ภาพ ที่แสดงถึงภาพลักษณ์ของตัวผู้ร้องอย่างชัดแจ้ง และความคล้ายคลึงของผู้ร้องในภาพยนตร์ดังกล่าวเป็น “ฉากสำคัญ” ในหนัง ที่มีลักษณะที่ไม่ได้เกิดจากเหตุบังเอิญ นอกจากนี้ ทับบ์ยังระบุว่า ภาพถ่ายดังกล่าวเป็นภาพที่ดัดแปลงมาจากภาพถ่ายเบื้องหลังของหนังภาคแรกที่ปรากฏภาพของนักแสดง รวมทั้งนักบินกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่เข้ามารับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับกองถ่ายในระหว่างการถ่ายทำจึงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ที่เกิดขึ้นของภาพดังกล่าว

เอกสารดังกล่าวระบุต่อไปว่าภาพถ่ายดังกล่าวนั้นไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ จึงเท่ากับว่า Paramount Pictures ได้ทำการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยการนำเอาภาพถ่ายนั้นไปใช้ ‘เพื่อจุดประสงค์ทางการค้าและผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเองเท่านั้น’ ในขณะที่ ‘Top Gun: Maverick’ ประสบความสำเร็จใน Box Office อย่างมหาศาล เขากลับไม่ได้รับการทวงถามหรือได้รับการเสนอค่าตอบแทนใด ๆ เอกสารดังกล่าวยังเรียกสตูดิโอที่เป็นผู้ถูกร้องว่า เป็น ‘ผู้ละเมิดที่ไม่เคยขอโทษใครจนติดเป็นนิสัยเรื้อรัง’

Val Kilmer, Barry Tubb, and Tom Cruise in 'Top Gun'

ณ ขณะนี้ ทางฝั่งของทับบ์ และ Paramount Pictures ยังไม่ได้ออกมาเปิดเผยใด ๆ เกี่ยวกับการฟ้องร้องดังกล่าว ในขณะที่ทนายความของทับบ์ได้เปิดเผยว่าลูกความไม่ต้องการแถลงเกี่ยวกับการฟ้องร้องต่อสาธารณะ และไม่ได้มีการเปิดเผยจำนวนค่าเสียหายที่มีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ถูกร้องในจำนวนตัวเลขที่แน่นอน

ก่อนหน้าที่ ‘Top Gun: Maverick’ จะเข้าฉาย ก็เคยตกเป็นคดีฟ้องร้องมาแล้ว เมื่อครอบครัวของ เอฮูด โยเนย์ (Ehud Yonay) นักเขียนเจ้าของผลงานบทความ ‘Top Gun’ ที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร California Magazine ในปี 1983 ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดหนังภาคแรก ได้ฟ้อง Paramount Pictures ข้อหาไม่ได้รับอนุญาตในการสร้างภาคต่อจากเจ้าของลิขสิทธิ์

โดยทายาทของเจ้าของบทความที่เสียชีวิตได้ยื่นขอเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์บทความในปี 2020 และได้แจ้งกับสตูดิโอแล้ว แต่สตูดิโอกลับเพิกเฉยและดำเนินการสร้างหนังต่อไป ในขณะที่ Paramount ได้ออกมาตอบโต้ว่าตัวหนังมีแผนจะสร้างตั้งแต่ปี 2018 ในช่วงการเปลี่ยนมือเจ้าของลิขสิทธิ์ แต่ด้วยโรคระบาดก็ทำให้ตัวหนังต้องเลื่อนระยะเวลาการถ่ายทำออกไป


ที่มา: Entertainment Weekly, Fox News, Screen Rant

***