บ้านคือวิมานของเรา บ้านควรจะเป็นสถานที่ที่เราได้พักผ่อนใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข สบายตัวสบายใจที่สุด แต่นั่นย่อมหมายถึงว่าบ้านนั้นจะต้องมีเพื่อนบ้านเป็นมิตรที่ดีด้วย แต่ถ้าตรงกันข้ามบ้านได้เพื่อนบ้านที่เป็นจอมก่อกวน เห็นแก่ตัวรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเพื่อนบ้าน แล้วถ้าพูดคุยตกลงกันไม่ได้ นั่นก็คือฝันร้ายสุด ๆ อาจกล่าวได้ว่าปัญหากับเพื่อนบ้านนี่เป็นปัญหาโลกแตกที่เกิดขึ้นกับทุกบ้านทุกเมืองทั่วโลก วันนี้ผู้เขียนมีตัวอย่างปัญหากับเพื่อนบ้านสุดแสบในประเทศอังกฤษมาเล่าสู่กันฟัง

บริเวณบ้านของคู่กรณี

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2010 นู่น ในเมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เป็นปัญหาพิพาทระหว่าง 2 บ้านของ แอนดรูว์ นิคลิน (Andrew Nicklin) ชายว่างงานวัย 50 ปี กับ แคทเธอรีน ฟาร์เรล (Catherine Farrell) ช่างทำผมวัย 44 ปี คุณแม่ลูก 2 ทั้งคู่นี้เป็นเพื่อนบ้านที่ต่างคนต่างใช้ชีวิตสงบสุขมาตลอด 10 ปี แต่แล้วปัญหามันก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อฟาร์เรลตัดสินใจเลี้ยงหมาขึ้นมาตัวหนึ่ง ชื่อว่าเจ้า “บัสเตอร์” เป็นหมาลูกผสม ชิสุ-ยอร์กเชีย เทอร์เรีย ใครที่เลี้ยงหมาพันธุ์เล็กจะรู้กันดีว่าเจ้าพวกนี้จะขยันเห่าแล้วเสียงจะแหลมเล็กมาก เผอิญด้วยว่านายนิคลินอดรนทนฟังเสียงเห่าซ้ำ ๆ ของเจ้าบัสเตอร์ไม่ไหว ก็เริ่มจากการใช้วิธีละมุนละม่อมขอร้องฟาร์เรลให้หาวิธีการทำให้เจ้าบัสเตอร์เงียบเสียงเสียที แต่ก็คงไม่เป็นผล เจ้าบัสเตอร์ก็ไม่หยุดเห่า นิคลินบอกว่าเขาอดทนมาจนถึงขีดสุดแล้ว ก็เลยใช้วิธีแก้เผ็ดฟาร์เรลด้วยวิธีการแสบสัน เขาบันทึกเสียงเห่าของเจ้าบัสเตอร์ลงแผ่นซีดี แล้วก็ตื่นมาตอนตี 3 หอบหิ้วลำโพงมาวางข้างรั้วหันไปทางบ้านของฟาร์เรล แล้วก็เปิดเสียงเห่าของเจ้าบัสเตอร์ด้วยระดับเสียงที่ดังสุด ประมาณว่าลองฟังเสียงหมาของแกเห่าซ้ำ ๆ ดูบ้างซิจะรู้สึกอย่างไร แต่การเอาคืนตอนตี 3 นี่ก็เล่นแรงอยู่นะ

แคทเธอรีน เฟอร์เรลล์ และเจ้าบัสเตอร์

ขึ้นชื่อว่าปัญหาทะเลาะวิวาทไม่ว่าจะเรื่องไหน ต่างฝ่ายต่างก็ต้องอ้างว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก แล้วชี้นิ้วว่าคู่กรณีเป็นฝ่ายผิดด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา ป้าฟาร์เรลก็เช่นกัน พอเธอโดนนิคลินแก้แค้นเอาคืนเธอก็แจ้งความเอาเรื่องเพื่อนบ้านตัวแสบ ผลก็คือยอมความกันไม่ได้ ต้องไปเจอกันบนชั้นศาล ฟาร์เรลให้การกับศาลว่า นายนิคลินเนี่ยล่ะเป็นเพื่อนบ้านจอมก่อกวนเลยล่ะ ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ เจ้าบัสเตอร์จะไปเห่านิคลินเมื่อไหร่กัน ที่บัสเตอร์มันเห่าก็เพราะนายนิคลินนี่ล่ะมีเจตนายั่วยุหมาของเธอให้เห่ามาโดยตลอด เพราะนิคลินชอบตีกลองเสียงดัง บางทีก็หิ้ววิทยุมาเปิดเพลงเสียงดังในสวน ทำให้บัสเตอร์หงุดหงิดแล้วก็เห่าเขากลับไป

“ไอ้หมอนี่มันคือเพื่อนบ้านจากนรกเลยล่ะค่ะ เค้าเนี่ยล่ะคือตัวก่อกวนประจำหมู่บ้านเลย เค้าชอบเปิดเพลงเสียงดังตลอดเวลา ไม่ใช่แค่ดิฉันคนเดียวหรอกนะที่มีปัญหากับเจ้าหมอนี่”
“เค้าชอบทุบรั้วให้เสียงดัง ๆ ยั่วให้เจ้าบัสเตอร์มันเห่า แล้วก็เอาวิทยุมาเปิดเสียงดัง ๆ ทิ้งไว้ในสวน เห็นได้ชัดว่าเค้าพยายามทำทุกอย่างที่จะยั่วยุหมา แต่เมื่อไหร่ที่เจ้าบัสเตอร์มันเห่า ดิฉันก็จะอุ้มมันเข้าบ้านทุกครั้งนะคะ”
“ตัวดิฉันเองได้พยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยวิธีการละมุนละม่อมอย่างที่สุดแล้ว แต่เค้าเนี่ยล่ะเป็นฝ่ายด่าทอดิฉันด้วยถ้อยคำหยาบคาย ลามไปถึงเพื่อนบ้านหลังอื่น ๆ ด้วย และฉันไม่ต้องการเผชิญเหตุการณ์แบบนี้อีกต่อไป”
“ล่าสุดนี้เค้ายั่วให้หมาดิฉันเห่า แล้วเค้าก็อัดเสียงมันไว้ลงในแผ่นซีดีแล้วก็เอามาเปิดใส่บ้านฉันวนซ้ำ ๆ”

พอมาถึงชั้นศาล ต่างฝ่ายต่างก็ตั้งทนายของตัวเองมาสู้ความกัน ซานจีฟ ชาร์มา (Sanjeev Sharma) รับหน้าที่เป็นทนายจำเลยตัวแทนของนิคลิน ได้ขึ้นให้การกับศาลว่า

“จากคำบอกเล่าของบรรดาเพื่อนบ้าน บ้านสองหลังนี่ต่างก็อยู่เคียงข้างกันมาอย่างสันติเป็นเวลายาวนาน เราเชื่อว่าการมาถึงของเจ้าหมาตัวนี้ล่ะที่เป็นสาเหตุของปัญหาให้แต่ละฝ่ายต่างมาถึงจุดแตกหัก นายนิคลินนี่จัดได้ว่าเป็นผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่งเลย เค้าเป็นคนที่คิดใคร่ครวญอย่างหนักก่อนที่จะลงมือทำอะไรลงไป เค้าเป็นคนที่ให้ความเคารพและเอาใจใส่คนรอบข้างอยู่เสมอ”

โฉมหน้านาย แอนดรูว์ นิคลิน

แต่คำให้การของชาร์มาก็ต้องโดนแย้งกลับโดย จอห์น บาร์ตเล็ตต์ (John Bartlett) อัยการที่รับหน้าที่ตัวแทนทางฝั่ง แคทเธอรีน ฟาร์เรล ที่ขอให้การต่อศาลว่านายนิคลินนี่ล่ะที่ชอบตะโกนด่าถ้อยคำหยาบคายข้ามรั้วมาบ่อย ๆ

“ทางโจทก์เผชิญเหตุการณ์แบบนี้มายาวนานแล้วกับถ้อยคำผรุสวาทที่ไม่สมควร และทางโจทก์ก็รู้สึกว่าเป็นฝ่ายถูกคุกคาม เธอต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข และเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างที่ต้องการได้”

อัยการให้การต่อศาลอีกว่า นายนิคลินได้บันทึกเสียงเห่าของบัสเตอร์ไว้แล้วก็เอามาเปิดวนซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง บางครั้งก็เปิดตอนตี 3 ด้วย แล้วเค้าก็ทำแบบนี้ต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ย้อนไปถึงครั้งแรกก่อนที่จะมาขึ้นศาลนี่ก็ 2 ปีแล้ว

ผู้พิพากษา แจ็ก แม็กการ์วา ตัดสินว่า แอนดรูว์ นิคลิน มีความผิดจริง มีบทลงโทษให้ทำงานบริการชุมชนเป็นระยะเวลา 100 ชั่วโมง และจากนี้ไปเป็นเวลา 10 ปี ห้ามไม่ให้มีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ กับแคทเธอรีน ฟาร์เรล

อ้างอิง อ้างอิง