[รีวิว] Operation Fortune: Ruse de Guerre กลศึกยอกย้อน งานพักร้อนย่ำรอยเดิมของ Guy Ritchie
Our score
5.5

Release Date

20/04/2023

ความยาว

114 นาที

ผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับ

'Snatch' (2000), 'Sherlock Holmes' (2009), 'The Man from U.N.C.L.E.' (2015), 'Aladdin' (2019)

[รีวิว] Operation Fortune: Ruse de Guerre กลศึกยอกย้อน งานพักร้อนย่ำรอยเดิมของ Guy Ritchie
Our score
5.5

Operation Fortune: Ruse de Guerre

จุดเด่น

  1. งานสไตล์กาย ริตชีที่ดูเพลินบันเทิงมาก มีดาราใหญ่มาเล่นหลายคน ขอบเขตเรื่องราวก็ใหญ่โตมีฉากหลังหลายประเทศ

จุดสังเกต

  1. หนังยังไม่ค่อยลงตัว มีความเอามันจนดูล้นหลายจุด แต่ถ้ามองว่าเป็นหนังที่ทำเอาบันเทิงก็ถือว่าอภัยให้ได้ เจสัน สเตแธม ถูกใช้ในเรื่องนี้ไม่ค่อยคุ้มนัก และชื่อเรื่องที่ว่าใช้กลศึกก็ดูธรรมดาไปสักหน่อย
  • บท

    6.5

  • โปรดักชัน

    7.0

  • การแสดง

    6.0

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    5.0

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    5.0

เรื่องย่อ: สุดยอดสายลับ ออร์สัน ฟอร์จูน ต้องตามล่าและหยุดยั้งการขายเทคโนโลยีอาวุธสุดอันตรายชิ้นใหม่ที่อยู่ในมือของพ่อค้าอาวุธพันล้านโดยต้องร่วมทีมกับสมาชิกที่รวมมาอย่างไม่เต็มใจ ทีมของพวกเขายังต้องบังคับดาราดังที่สุดในฮอลลีวูดเพื่อช่วยพวกเขาในภารกิจลับช่วยโลกใบนี้

Major Cineplex logo
สนับสนุนโดย Major Cineplex

ในช่วงที่หนังเรื่องนี้เข้าฉายในไทยมีเรื่องน่าสนใจอยู่อย่างคือ ยังมีหนังอีกเรื่องของ กาย ริตชี (Guy Ritchie) เข้าฉายในโรงเช่นกัน นั่นคือ ‘Guy Ritchie’s The Covenant’ (2023) ซึ่งอาจพูดได้ว่าเป็นหนังสงครามเรื่องแรกของผู้กำกับสุดแนวอย่างริตชีที่มาโทนจริงจังเลยทีเดียว ใครอยากเจออะไรที่แตกต่างก็น่าลอง

แต่สำหรับใครที่เป็นแฟนหนังเดนตายของริตชีในแบบฉบับตลกร้ายยียวนกวนประสาท บทสนทนาแสบ ๆ และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอันธพาลเหมือนสมัย ‘Lock, Stock and Two Smoking Barrels’ (1998) และ ‘Snatch’ (2000) แต่เล่าไปถึงแวดวงของสายลับคล้าย ‘The Man from U.N.C.L.E.’ (2015) ที่ให้โชว์การหักเหลี่ยมเฉือนคมได้หลากหลายกว่าวงการอาชญากรรม ก็ต้องมาดูเรื่องนี้เลยกับ ‘Operation Fortune: Ruse de Guerre’

Operation Fortune: Ruse de Guerre

หนังเรื่องนี้นับเป็นการร่วมงานกันครั้งที่ 3 แล้วของริตชีกับมือเขียนบทคู่บุญทีมใหม่อย่าง อิวาน แอตคินสัน (Ivan Atkinson) และ มาร์น เดวีส์ (Marn Davies) นับจากหนัง ‘The Gentlemen’ (2019) กับ ‘Wrath of Man’ (2021) ที่เป็นงานช่วงหลังของริตชีเป็นต้นมา

โดยเนื้อหาของหนังก็จั่วหัวไวตามสูตรเกี่ยวกับการจารกรรมห้องทดลองและขโมยของบางอย่างที่คาดว่าคืออาวุธไป โดยมีการนำไปขายในตลาดมืดโดยพ่อค้าอาวุธสงครามคนดังอย่างซิมมอนด์ส ซึ่งรับบทโดยดาราเจ้าพ่อบทรับเชิญในช่วงหลังอย่าง ฮิว แกรนต์ (Hugh Grant)

ต่อมาหนังก็แนะนำตัวละครฝั่งพระเอก เริ่มจากเจ้าหน้าที่พิเศษของอังกฤษที่แสดงโดย แครี เอลเวส (Cary Elwes) ที่คุ้นหน้าจากบทคุณหมอในห้องปิดตายจากหนัง ‘Saw’ (2004) ได้ติดต่อสุดยอดสายลับเจ้าปัญหาที่เรื่องเยอะและโลภมากนามว่า ออร์สัน ฟอร์จูน ซึ่งรับบทโดย เจสัน สเตแธม (Jason Statham) มานำทีมเฉพาะกิจที่ประกอบไปด้วย แฮกเกอร์สาวปากแจ๋วที่ถูกทีมคู่แข่งอีกทีมไล่ออกมา และสายลับผิวดำหนุ่มที่เก่งรอบด้านแต่ยังไม่ค่อยรู้ประสา ทั้งนี้ภารกิจก็เริ่มซับซ้อนเมื่อรู้ว่ามีทีมสายลับอีกทีมถูกว่าจ้างมาแข่งขันกับพวกเขาและคอยขัดแข้งขัดขากันสร้างผลงาน

Operation Fortune: Ruse de Guerre

รวมถึงการจะเข้าถึงตัวพ่อค้าอาวุธสงครามระดับโลกอย่างซิมมอนด์สยังอาจต้องใช้ความคลั่งไคล้ในดาราฮอลลีวูดชื่อดังของเขาด้วย ทำให้ทีมของฟอร์จูนต้องงัดกลศึก (หรือภาษาฝรั่งเศสใช้ว่า Ruse de Guerre หรืออุบายสงคราม) โดยไปจับตัวแดนนี่ ดาราบู๊ระดับโลก ที่รับบทโดย จอช ฮาร์ตเน็ตต์ (Josh Hartnett) มาเป็นนกต่อเข้าใกล้ซิมมอนด์สอย่างที่เขาก็ไม่เต็มใจไปเสี่ยงอันตราย ซึ่งพลอตก็ชวนให้นึกถึงหนังหลายเรื่องอย่างล่าสุดก็ ‘The Unbearable Weight of Massive Talent’ (2022) ของ นิโคลัส เคจ (Nicolas Cage) ก็มีอะไรแบบนี้

แต่ก็ต้องยอมรับว่าแม้พลอตจะคล้ายให้ชวนนึกถึงหนังหลายเรื่อง หรือจะว่าเป็นหนังเดินตามสูตรขนบสายลับขนาดไหนก็ตาม แต่มันก็ยังเป็นหนังวายป่วงที่มีลายเซ็นริตชีอยู่เต็มไปหมด ทั้งตัวละครบ้าบอ บทสนทนาที่คมคายและปั่นคนดูไปพร้อมกัน รวมถึงการนำพาสถานการณ์ชวนหัวมากมายมาทำให้เรื่องราวเดินหน้า จะพูดว่ากาย ริตชีทำหนังอะไร มันก็จะกลายเป็นหนังสไตล์ของเขาเองอยู่ดีก็ไม่แปลก ซึ่งในอีกแง่หนึ่งมันก็กลายเป็นการย่ำรอยซ้ำสูตรเดิม ๆ ของริตชีที่เพียงเปลี่ยนธีมของหนังไปเท่านั้น และความยอกย้อนอุบายซับซ้อนที่อุตส่าห์เอามาตั้งเป็นชื่อหนัง มันก็ไม่ได้ลึกล้ำอะไรขนาดนั้นด้วย

Operation Fortune: Ruse de Guerre

มองในแง่คนที่ตามดูหนังของริตชีมาหลายเรื่องก็ต้องยอมรับว่าหนังอาจไม่ได้น่าจดจำนักเมื่อเทียบกับเรื่องอื่น ๆ แม้จะปั้นตัวละครฟอร์จูนของสเตแธมมาอย่างดิบดี ทว่าเขาก็ไม่ได้โชว์แอ็กชันโดดเด่นต่างจากหนังเรื่องอื่นของเขา ในอีกแง่ความน่าสนใจในตัวละครของเขาใน ‘Wrath of Man’ ยังดูมีมิติน่าจดจำกว่าเสียอีก ถึงขนาดว่าในเรื่องนี้กลับกลายเป็นว่าตัวละครสมทบของ ฮิว แกรนต์ เสียอีกที่ชิงแสงของหนังไปได้แทบหมด ถ้าหนังจะมีภาคต่อมันก็ควรเป็นเรื่องราวของพ่อค้าอาวุธซิมมอนด์สแทนเลยก็ว่าได้

และในภาพรวมก็อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นหนังกาย ริตชีที่ดีพอประมาณ อารมณ์แบบเอาไว้ดูคั่นเวลาเพื่อรอเรื่องใหม่ที่ดีกว่าเท่านั้น ซึ่งเหมือนผู้กำกับก็รู้ตัวและทำเอามันเหมือนกัน เลยทำให้หนังมันดูง่ายและดูเพลินเบาสบายอย่างไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อน เป็นหนังโหมดปล่อยจอยปล่อยใจเพลิดเพลินบันเทิงในวันว่างได้เต็มเหยียดเลยครับ

Operation Fortune: Ruse de Guerre

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส