[รีวิวซีรีส์] Gen V: เมื่อ X-men ถูกมองผ่านโลกของ The Boys รับประกันความเหวอรับประทาน
Our score
7.5

Release Date

29/09/2023

ความยาว

8 ตอน ตอนละ 50 นาที

[รีวิวซีรีส์] Gen V: เมื่อ X-men ถูกมองผ่านโลกของ The Boys รับประกันความเหวอรับประทาน
Our score
7.5

Gen V

จุดเด่น

  1. เป็นสปินออฟที่ไม่ได้ด้อยหรืออ่อนข้อลงเลยจาก 'The Boys' แถมได้เห็นมุมมองของจักรวาลซูปส์ที่แปลกออกไป สดใหม่ และน่าติดตาม ส่งเสริมกับแฟรนไชส์หลักได้เยี่ยม

จุดสังเกต

  1. ความรุนแรงและการนำเสนอด้านเพศแบบเกินเบอร์ก็เป็นดาบสองคม
  • บท

    7.0

  • โปรดักชัน

    7.5

  • การแสดง

    6.5

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    9.0

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    8.0

เรื่องย่อ: มารี เด็กในสถานพินิจของผู้มีพลังพิเศษหรือซูปส์ เธอมีโอกาสในการเข้าเรียนที่ กอโดลคิน หรือ ก็อดยู มหาวิทยาลัยชั้นนำของซูปส์ ด้วยความฝันอยากเป็นผู้หญิงผิวดำคนแรกที่ได้เข้าทีมเดอะเซเวน แต่ก็อดยูก็มีปริศนาบางอย่างที่ไม่ได้สวยงามและน่าสงสัย เช่นเดียวกับอดีตของเธอ

ซีรีส์ ‘The Boys’ ของ Prime Video อาจกล่าวได้ว่าเป็นคอนเทนต์เรือธงของแพลตฟอร์มอย่างเต็มปาก และทันทีที่เรื่องราวการต่อสู้ของกลุ่มคนธรรมดาที่เต็มไปด้วยความแค้นต่อความไม่รับผิดชอบของพวกที่ได้ชื่อว่าฮีโรได้เดินทางมาถึงซีซันที่ 3 และจบลงด้วยการกลับมาเรืองอำนาจของจอมปีศาจอย่างโฮมแลนเดอร์จนผู้ชมต้างคาใจอยากให้รีบมีซีซันที่ 4 ไว ๆ

สิ่งที่ผู้สร้างสนองตอบแฟน ๆ คือซีรีส์ภาคแยกเรื่องราวของวัยรุ่นที่เรียนรู้การเป็นซูปส์ในเรื่อง ‘Gen V’ ซึ่งเล่นกับชื่อของยา คอมพาวด์-วี ที่เปลี่ยนพันธุกรรมทารกธรรมดาในครรภ์ให้กลายเป็นซูปส์ ที่เราเคยได้ยินมาหลายครั้งจากซีรีส์ ‘The Boys’ และมีช่วงเวลาของเรื่องอยู่ในช่วงเวลาหลังซีซัน 3 พอดี ทำให้เราเห็นข่าวอัปเดตเกี่ยวกับทีมเดอะเซเวน และขณะเดียวกันก็ได้เห็นบางตัวละครจาก ‘The Boys’ มาโลดแล่นในมหาวิทยาลัยยอดมนุษย์ด้วย เช่น แอชลีย์ที่ขึ้นมาเป็นเลขาของโฮมแลนเดอร์และผู้บริหารของวอจต์ เธอยังคงมีฉากบงการ อินทิรา อธิการบดีของก็อดยูด้วย

ก็นับเป็นความฉลาดในการพักเส้นเรื่องหลัก และหันไปปั้นเส้นเรื่องคู่ขนานที่อาจแต่งเติมจินตนาการใหม่ ๆ ลงไปได้ง่ายกว่า และยังทิ้งประเด็นคำใบ้สิ่งที่กำลังเกิดใน ‘The Boys’ ซีซันหน้าไว้ด้วย จะบอกว่า ‘Gen V’ คือ ‘The Boys Season 3.5’ ก็อาจไม่ผิดนัก

‘Gen V’ อิงจากคอมิก ‘The Boys’ ช่วงเล่มที่ 23-30 ที่มีชื่อว่า ‘We Gotta Go Now’ ซึ่งในซีรีส์ ‘The Boys Season 2’ ตอนที่ 5 ก็เคยใช้ชื่อนี้ แต่ในคอมิกจะเล่าเรื่องทีมของเดอะบุตเชอร์กำลังได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบทีมซูปส์ที่ชื่อว่า G-men ซึ่งสร้างขึ้นโดยชายที่ชื่อกอโดลคิน โดยมีข้อสงสัยว่าเขาอาจทรมานเด็กกำพร้าที่รับเลี้ยงมาเพื่อให้เป็นฮีโร แน่นอนว่าคอมิกช่วงนี้ได้ล้อเลียนเรื่อง X-men เต็ม ๆ และกอโดลคินที่แทนตัวว่า ก็อด หรือพระเจ้า ก็เปรียบได้กับศาสตรจารย์เอ็กซ์นั่นเอง

Gen V

แต่ใน ‘Gen V’ ได้เปลี่ยนเรื่องราวมาเป็นมหาวิทยาลัยก็อดยูที่พวกซูปส์วัยรุ่นใฝ่ฝันจะเข้าเรียน และเล่าผ่านสายตาของ มารี ตัวละครซูปส์ผิวดำที่มีพลังในการควบคุมเลือด แต่ในตอนที่พลังของเธอตื่นขึ้นพร้อมกับประจำเดือนครั้งแรก เธอไม่สามารถคุมพลังได้จนทำให้พ่อกับแม่ของเธอเสียชีวิต เธอเป็นเด็กกำพร้าที่อยู่ในอุปถัมภ์ของสถานพินิจที่หากบรรลุนิติภาวะก็ต้องถูกส่งไปสถานดัดสันดานผู้ใหญ่ มารีจึงตั้งใจเรียนจนเข้าก็อดยูได้

ทว่าเมื่อเข้ามาเธอก็เข้าไปเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ฆ่าตัวตายของนักศึกษาซูปส์รายหนึ่ง จนทำให้เธอต้องออกสืบว่ามันเกิดอะไรขึ้นในมหาวิทยาลัยก็อดยูที่บริหารโดยบริษัทใหญ่อย่างวอจต์แห่งนี้กันแน่ โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า เดอะวูดส์ ที่เป็นคำสั่งเสียสุดท้ายของนักศึกษาที่ตาย

แจส ซินแคลร์ (Jaz Sinclair) ในบท มารี เธอพลิกจากบทคู่หูนางเอกในซีรีส์ ‘Chilling Adventures of Sabrina’ มารับบทนำในซีรีส์นี้ โดยได้ ลิซซี บรอดเวย์ (Lizze Broadway) มารับบทสาวพลังย่อส่วนที่เป็นรูมเมตของมารี เหมือนเป็นด้านสลับล้อเลียนกับซีรีส์แม่มดที่ซินแคลร์เคยแสดง

Gen V

แต่ก็ต้องยอมรับว่าซินแคลร์นั้นไม่ได้ทำให้มารีเป็นแค่ตัวละครผิวดำตามสูตร ปมภูมิหลังของตัวละครนี้ทำได้น่าสนใจตั้งแต่แรกที่เล่นกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของเด็กหญิงที่กลายมาเป็นปมในใจ และเธอก็แสดงถึงภาวะถอยหลังไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียวถึงแม้เดินไปข้างหน้าก็มีแต่อันตรายได้อย่างดี ขณะเดียวกันลูกคู่อย่างบรอดเวย์ที่รับบท เอ็มมา ก็สะท้อนความเป็นวัยรุ่นที่มีปมเรื่องร่างกายแต่ก็อยากเป็นที่ยอมรับถึงขนาดยอมลดศักดิ์ศรีตัวเองใช้ร่างกายเอาใจผู้ชายได้อย่างน่าสนใจ

มันเลยเป็นซีรีส์ที่ไม่ได้แค่ล้อเลียนซูเปอร์ฮีโร่โดยมีวัยรุ่นแสดงนำ แต่มันคือหนังว่าด้วยปัญหาของวัยรุ่นที่ขับเน้นความว้าวุ่นให้หนักข้อยุ่งเหยิงจนเกินจะรับมือ ทั้งชีวิตการเรียน ความรัก เพื่อน โลกโซเชียล ความนิยม การเป็นคนดัง ความลับ เรื่องซุบซิบ โดยยังไม่ต้องพูดถึงพลังเหนือมนุษย์ที่ควบคุมไม่ได้

ที่น่าสนใจอีกอย่างคือซีรีส์เรื่องนี้ยังได้ แพทริก ชวาร์เซเนกเกอร์ (Patrick Schwarzenegger) ลูกชายของตำนานนักบู๊คนเหล็กอย่าง อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ (Arnold Schwarzenegger) มารับบทตัวละครผู้นำกลุ่มนักศึกษาที่เป็นท็อปของมหาวิทยาลัยอย่างหนุ่มพลังตาเพลิงโกลเดนบอยที่เหมือนกับไซคลอปส์ด้วย แต่ถ้าพูดถึงตัวละครที่มีความน่าสนใจอื่นก็ยังมีทั้ง จอร์แดน ลี ซูปส์สลับเพศเป็นชายและหญิงได้, เคต สาวพลังควบคุมจิตใจที่เหมือนกับ จีน เกรย์, อังเดร ผู้มีพลังควบคุมโลหะเหมือนแมกนีโต และแซม นักศึกษาที่ถูกทดลองและหนีมาจากเดอะวูดส์คล้ายกับวูล์ฟเวอรีน

Gen V

แต่ก็อย่างที่แฟนของแฟรนไชส์นี้ทราบดี มันไม่ได้สำคัญว่าใครจะมาแสดงหรือมันล้อเลียนเรื่องอะไรอยู่ เพราะสิ่งที่ทำให้เราติดงอมแงมคือความรุนแรงแบบสะใจคอโหดชนิดระเบิดเลือดสาดกระจาย การนำเสนอเรื่องเพศแบบสุดโต่ง และฉากเซอร์ไพรส์การกระทำของตัวละครที่เกินคาดเดาจนต้องอุทานหลายหนในหนึ่งตอน ซึ่งซีรีส์ ‘Gen V’ ก็เสิร์ฟสิ่งเหล่านี้ได้ไม่มีตกบกพร่อง

และสิ่งที่สำคัญมากคือบทบาทหน้าที่ในฐานะภาคแยกของซีรีส์หลักนั้น ‘Gen V’ สามารถเชื่อมไปกับเหตุการณ์หลังซีซัน 3 ของ ‘The Boys’ ได้อย่างเนียนตา แม้ความซีรีส์วัยรุ่นจะทำให้ช่วงกลางของซีรีส์ตกท้องช้างดูน่าเบื่อไปสักนิดแต่พอมาช่วงหลัง มันก็อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวน่าติดตาม ตัวละครที่โด่งดังและคุ้นเคยผู้ชมมาปรากฏตัวและทิ้งเนื้อหาสำคัญที่น่าจะถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญใน ‘The Boys’ ซีซัน 4 ได้อย่างน่าตื่นเต้น ทั้งการทดลองไวรัสฆ่าซูป การกำเนิดเดอะเซเว่นคนใหม่ ตัวละครซูปรุนเยาว์ที่จะมาเข้าทีมของบุตเชอร์ได้ในอนาคต ที่เห็นชัดคือพลังเลือดของมารีถูกคิดขึ้นมาเพื่อต่อกรกับวุฒิสมาชิกพลังระเบิดหัวอย่างไม่ต้องสงสัย และมันทำให้อยากชมซีซันใหม่ไว ๆ แล้ว

นอกจากนี้ตัวซีรีส์ยังมาพร้อมกับพากย์ไทยที่แปลและพากย์ได้ดีทีเดียว แสดงถึงการให้ความสำคัญในตลาดไทยของทาง Prime Video ด้วย

Gen V

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส