[รีวิวซีรีส์] Parasyte: The Grey ตัดฉับเอาครึ่งหลังต้นฉบับมาเล่า แต่ลืมหยิบเอาเสน่ห์มาใช้

Release Date

05/04/2024

ความยาว

6 ตอน ตอนละประมาณ 35-50 นาที

ผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับ Yeon Sang-Ho

Train To Busan (2016), Peninsula (2020), ซีรีส์ Hellbound (2021)

[รีวิวซีรีส์] Parasyte: The Grey ตัดฉับเอาครึ่งหลังต้นฉบับมาเล่า แต่ลืมหยิบเอาเสน่ห์มาใช้
Our score
6.5

Parasyte: The Grey

เน้นความมัน ไม่เน้นความน่าจดจำ

พยายามเอาต้นฉบับมาดัดแปลงให้คล้ายแบบมีกลิ่นคุ้นเคย ทว่าตัดส่วนการพัฒนาเรื่องราวและตัวละครออกไปเน้นส่วนพีกที่มีฉากบู๊ใหญ่ ๆ เพื่อให้กระชับถูกปากคนดูหนังทั่วไป ทว่าสำหรับแฟนมังงะหรือแอนิเมชันรวมถึงหนังฉบับก่อนหน้า คงรู้สึกถึงความไร้หัวจิตหัวใจและเสน่ห์ที่ต้นฉบับเคยมอบให้

จุดเด่น

  1. มีความคิดสร้างสรรค์ขยายจักรวาลเดิมออกไปให้กว้างขึ้น มีทิศทางของการเชื่อมกับฉบับญี่ปุ่นด้วย
  2. เน้นความสนุกเร้าใจบันเทิง ไม่เน้นความแหวะมากอย่างต้นฉบับ

จุดสังเกต

  1. โครงสร้างการเล่าเรื่องยังดูลอกทางของต้นฉบับมากไปหน่อยเมื่อมองว่าเป็นเรื่องราวที่เกิดในจักรวาลเดียวกันต่างแค่ประเทศ และยังทำให้เจอแผลเหวอะหวะในบทเข้าไปอีก
  2. ด้านงานซีจีหลายฉากทำได้ดีแต่ก็มีไม่น้อยที่น่าหงุดหงิดไม่เบา
  • บท

    6.0

  • โปรดักชัน

    6.5

  • การแสดง

    7.0

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    7.5

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    6.5

เรื่องย่อ: เมื่อปรสิตไม่ทราบชื่อเข้ายึดร่างกายมนุษย์ด้วยความรุนแรงและสั่งสมพละกำลัง มนุษยชาติจะต้องลุกขึ้นสู้กับภัยคุกคามที่อันตรายขึ้นทุกขณะ

จากผลงานต้นฉบับที่เป็นมังงะระดับขึ้นหิ้งของอาจารย์อิวาอากิ ฮิโตชิ (Iwaaki Hitoshi) ในชื่อ ‘Kiseijuu’ เมื่อปี 1988 ด้วยพลอตแบบไซไฟสยองขวัญที่เป็นที่นิยม และการออกแบบปรสิตต่างดาวที่มีเอกลักษณ์น่าสะพรึงกลัว มีเรื่องราวการพัฒนาของตัวละครที่ชวนติดตาม แต่ก็ยังไม่ทิ้งการตั้งคำถามเชิงปรัชญาทั้งเรื่องการมีชีวิต ตัวตน และความสัมพันธ์ต่อสิ่งแวดล้อมไว้อย่างน่าสนใจ ด้วยองค์ประกอบที่ยอดเยี่ยมหลายอย่างที่ควรถูกดัดแปลงเป็นสื่ออื่นโดยเฉพาะภาพยนตร์แต่มันก็ไม่เคยถูกสร้างเลยเพื่อรอเทคโนโลยีด้านซีจีที่จะถ่ายทอดออกมาได้ตามจินตนาการของมังงะ

จนกระทั่งผู้กำกับยามาซากิ ทาเคชิ (Yamazaki Takashi) ที่เคยมีผลงาน ‘Always: Sunset on Third Street’ (2005) และล่าสุด ‘Godzilla Minus One’ (2023) ได้รับความไว้วางใจในขณะนั้นจากอาจารย์อิวาอากิให้ดัดแปลงเป็นไลฟ์แอ็กชันจำนวน 2 ตอนชื่อ ‘Parasyte: Part 1’ (2014) และ ‘Parasyte: Part 2’ (2015) นำแสดงโดย โซเมทานิ โชตะ (Sometani Shôta) ซึ่งก็เล่าเรื่องตามฉบับมังงะได้อย่างลงตัว

Parasyte: Part 1
ฉบับญี่ปุ่นปี 2014

ในปีนี้เน็ตฟลิกซ์เกาหลีได้นำ ‘Parasyte’ มาดัดแปลง โดยได้ผู้กำกับยอนซังโฮ (Yeon Sang-ho) ที่เคยฝากผลงานอย่าง ‘Train to Busan’ (2016) และซีรีส์ ‘Hellbound’ (2021) มาคุมงานผลิต ด้วยชื่อชั้นที่เล่นกับซีจีมาได้ดีทั้งซอมบี้และสัตว์ประหลาดจากนรกก็เชื่อได้ว่าเขาน่าจะทำปีศาจปรสิตออกมาได้ดี

ยอนซังโฮเลือกที่จะเล่าเรื่องราวที่ต่างออกไปจากต้นฉบับญี่ปุ่น แต่ก็ยังรักษาความคล้ายคลึงเอาไว้ค่อนข้างมาก จาก อิซึมิ ชินอิจิ เด็กหนุ่มที่บังเอิญถูกปรสิตเจาะเข้ามาทางแขนแต่รู้ตัวทันจึงรัดแขนไว้จนปรสิตต้องฝังร่างลงในแขนข้างขวาและกลายมาเป็นคู่หูกับปรสิตอย่างไม่ตั้งใจ จนช่วงหลังชินอิจิบาดเจ็บสาหัสและได้เพื่อนปรสิตสละตัวเพื่อซ่อมแซมบาดแผลให้เขาจนกลายมาเป็นการเชื่อมจิตวิญญาณกัน

ก็ถูกเกาหลีดัดแปลงมาเป็น จองซูอิน (รับบทโดย จอนโซนี – Jeon So-nee) หญิงสาวที่ถูกฆาตกรไล่ฆ่าจนบาดเจ็บขณะที่ถูกปรสิตเจาะเข้าถึงสมอง ทว่าด้วยร่างกายที่ใกล้ตายปรสิตจึงต้องซ่อมแซมร่างกายของซูอินและควบคุมสมองของเธอได้ไม่สมบูรณ์ กลายเป็นสองชีวิตในหนึ่งร่าง ตรงนี้ก็จะเห็นว่าเป็นการรวบรัดพัฒนาการตัวเอกจากคนที่ต้องค่อย ๆ เรียนรู้การอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตปริศนาได้เห็นว่ามือขวาของเขาเริ่มเรียนรู้และมีความคิดจิตใจของตนเองกลายมาเป็นคู่หูกัน ก็ตัดตอนให้กระชับเป็นปรสิตร่วมจิตวิญญาณเดียวกับตัวเอกเลยแต่แรก

ซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ยังตัดข้ามไปเลยว่ารัฐบาลเกาหลีรู้ถึงการมีอยู่ของพวกปรสิตยึดร่างตั้งแต่แรก ๆ เพราะเกิดเหตุอาละวาดกลางงานคอนเสิร์ต และจัดตั้งหน่วยพิเศษที่ชื่อทีมเกรย์ออกจัดการอย่างลับ ๆ ขณะเดียวกันก็คอยปิดข่าวไม่ให้สังคมรับรู้ว่ามีปีศาจร้ายแฝงกายอยู่ ในอีกทางหนึ่งพวกปรสิตก็รวมตัวกันเป็นองค์กรทางศาสนาเพื่อปกปิดตัวตน ซึ่งก็จะคล้ายกับช่วงครึ่งหลังของมังงะเลยที่ชินอิจิต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มปรสิตที่มีปัญญาและพยายามยึดอำนาจทางการเมืองแบบมนุษย์เพื่อหาช่องทางกินมนุษย์และอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างแนบเนียนกว่าเดิม

Parasyte: The Grey

นั่นทำให้ตัวซีรีส์สามารถถ่ายทอดด้วยจำนวนตอนที่น้อยเพียง 6 ตอน และแต่ละตอนก็ไม่ได้มีความยาวมากหลักชั่วโมง เพราะตัดช่วงพัฒนาเรื่องไปมากแล้ว ซูอินตัวเอกของเราจะได้รับการช่วยเหลือจากตัวละครอื่นค่อนข้างมากทั้งลุงตำรวจที่ดูแลเธอมาตั้งแต่กำพร้าพ่อแม่ รวมถึง คังอู นักเลงหนีคดีที่บังเอิญพี่สาวถูกปรสิตยึดร่างและมาพบกับนางเอก ซึ่งพี่สาวของคังอูนี้ก็เป็นการเอาตัวละคร ทามูระ เรโกะ ครูสาวในต้นฉบับมาปรับใช้ ในขณะที่ความเก่งของซูอินนั้นก็มีมาแต่แรกไม่ต้องไปฝึกฝนพัฒนาร่างกายและจิตใจให้พร้อมสู้อย่างชินอิจิแต่อย่างใด

Parasyte: The Grey

มันจึงอาจนิยามได้เลยว่า ซีรีส์เรื่องนี้คือการตัดตอนเอาครึ่งหลังของมังงะมาใช้โดยดัดแปลงให้เล่าเข้ากลางเรื่องได้เลย แม้จะมีหลายเหตุการณ์และหลายตัวละครที่ไม่เหมือนเสียทีเดียว แต่พอดูไปก็จะพบว่ามันคือตัวละครเดิม ๆ ที่เราเคยอ่านในมังงะ เคยดูในหนังและแอนิเมชันนั่นล่ะ เป็นการดัดแปลงที่มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อดีคือรู้สึกยังเคารพต้นฉบับอยู่แต่ก็ใส่ความสร้างสรรค์ลงไปมากพอที่จะบอกว่ามีเอกลักษณ์ มีความเป็นต้นฉบับที่ไม่ใช่ทั้งรีบูตและรีเมกหรือเป็นภาคต่อของฉบับเก่าอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ข้อเสียคือมันตัดส่วนที่ช่วยให้ผู้ชมผูกพันและอยากเอาใจช่วยตัวละครหลักไปหมดเลย ถ้าจะพูดโดยอิงจากผลงานของผู้กำกับยอนซังโฮให้เห็นภาพก็คงเป็นว่า มันอยู่ในระดับเดียวกับที่เขาพัฒนาหนัง ‘Train to Busan’ (2016) ให้ออกมาเป็นภาคต่ออย่าง ‘Peninsula’ (2020) เช่นนั้นเลย มีกลิ่นอายแบบของเดิม แต่ก็เอามันจนไม่สนใจเสน่ห์ที่เคยทำให้คนหลงรักต้นฉบับไปหมดสิ้น

แน่นอนว่าหลายคนอาจพอทราบแล้วว่าในตอนท้ายซีรีส์มีการใบ้ให้ทราบว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องราวคู่ขนานที่เหลื่อมหลังกับฉบับหนังญี่ปุ่นเมื่อปี 2014 และ 2015 ด้วย ซึ่งมันก็น่าตื่นเต้นในแง่การเชื่อมจักรวาลว่าปรสิตไม่ได้มีแค่ในญี่ปุ่นแต่มีที่อื่นของโลกด้วย ทว่ามันก็ยิ่งเปิดแผลสำคัญหลายอย่าง เช่นว่า คำกล่าวอ้างที่ว่าเกาหลีจัดตั้งกองกำลังมารับมือได้ก่อนใครเพราะเจอปรสิตมาก่อน น่าจะไม่ถูกต้อง ต่อมาการมีอยู่ของปรสิตในสังคมญี่ปุ่นตามฉบับเดิมนั้นเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายรวดเร็ว ขณะที่เกาหลีผู้คนยังไม่รู้เลยว่ามีปีศาจปะปนในเมืองแล้ว ทั้งในยุคที่กล้องมือถือเต็มงานคอนเสิร์ตไปหมดแต่รัฐบาลก็ยังปิดข่าวเหตุอาละวาดในตอนต้นเรื่องได้เงียบผิดปกติจนซีรีส์ดูไม่สมจริงไปเลย

Parasyte: The Grey

จุดเสียอีกประการของซีรีส์ก็คงเป็นการใช้งานซีจีที่แม้จะออกมาหลังจากฉบับอื่น ๆ หลายปีแล้ว แต่การใช้งานกราฟิกกลับดูไม่ได้สมจริงหรือดูดีไปมากกว่าที่เคยทำมาเลย หนำซ้ำบางช่วงยังดูย่ำแย่เหมือนงานหัดปั้นโมเดลเสียด้วย ทั้งที่ผู้กำกับยอนซังโฮก็ทำงานร่วมกับซีจีมาหลายเรื่องแล้ว

อย่างไรก็ดีนี่เป็นซีรีส์ที่ช่วยต่อลมหายใจให้กับจักรวาลปรสิตเดรัจฉาน ที่กระชับและเน้นกลุ่มผู้ชมที่อยากดูการเคลื่อนไปของเรื่องด้วยฉากแอ็กชันเยอะ ๆ เมื่อเทียบกับต้นฉบับ ก็หวังว่าหากมีโอกาสได้ทำซีซันต่อไปผู้สร้างนอกจากดึงแค่เรื่องราวเหตุการณ์มาดัดแปลง จะไม่ลืมหยิบเอาหัวใจและแง่มุมที่แหลมคมของต้นฉบับมาถ่ายทอดให้มากกว่านี้ด้วย

Parasyte: The Grey