[รีวิว] The Garfield Movie – ความการ์ฟิลด์ไม่ถึงแน่ แต่พอตกทาสแมวได้

Release Date

22/05/2024

ความยาวหนัง

101 นาที

แนวหนัง

แอนิเมชัน ตลก ผจญภัย

ผู้กำกับ

มาร์ค ดินดาล (Mark Dindal)

ผลงานที่ผ่านมาของผู้กำกับ

The Emperor's New Groove (2000), Chicken Little (2005)

ให้เสียงพากย์โดย

คริส แพรตต์ (Chris Pratt), แซมมูเอล แอล แจ๊กสัน (Samuel L. Jackson), นิโคลาส โฮลต์ (Nicholas Hoult)

[รีวิว] The Garfield Movie – ความการ์ฟิลด์ไม่ถึงแน่ แต่พอตกทาสแมวได้
Our score
6.7

[รีวิว] The Garfield Movie – ความการ์ฟิลด์ไม่ถึงแน่ แต่พอตกทาสแมวได้

ความการ์ฟิลด์ไม่ถึงแน่ แต่พอตกทาสแมวได้

ในการ์ฟิลด์ฉบับนี้สิ่งที่ปรากฎเด่นชัดที่สุดหนีไม่พ้นการเป็นหนังที่ทั้งยั่วล้อหนังดัง ๆ และการเป็นหนังดราม่าครอบครัวซึ่งไม่เคยปรากฎในหนังการ์ฟิลด์เรื่องอื่น ๆ รวมไปถึงการเล่นกับเทรนด์ต่าง ๆ ในโลกความเป็นจริงไม่ว่าจะเป็นการส่งพิซซ่าด้วยโดรน หรือกระทั่งรายการทีวีที่เจ้าการ์ฟิลด์ดูก็ยังเป็นคลิปแมวตลก ๆ แถมยังแวะแซวสตรีมมิงดังอย่าง Netflix ที่ในหนังมาเปลี่ยนเป็น Catflix ก็ทำให้ภาพของการ์ฟิลด์ฉบับนี้มีความทันสมัยและดูเป็นปัจจุบัน หนังได้แทนที่ความสัมพันธ์ระหว่างจอนกับการ์ฟิลด์ ด้วยฉากการผจญภัยระหว่างการ์ฟิลด์ วิก และ โอลดี้ ที่เอื้อให้หนังได้เล่นสนุกกับบรรดามุกเจ็บตัวและมุกโหด ๆ เพื่อหวังเลี้ยงความสนุกของหนังตลอด 101 นาทีไว้ให้ได้ แต่น่าเสียดายว่าหัวใจของความเป็นการ์ฟิลด์กลับหายไปจากหนังฉบับนี้แบบไม่น่าให้อภัย

จุดเด่น

  1. เป็นการ์ฟิลด์ที่หยิบประเด็นดราม่าพ่อลูกมาเล่นทำให้เกิดความแปลกใหม่เมื่อไปเทียบหนังการ์ฟิลด์ที่ผ่านมา
  2. มีมุกที่ล้อกับความทันสมัยในโลกความจริง ทำให้ตัวการ์ฟิลด์ดูเป็นแมวในยุคปัจจุบัน

จุดสังเกต

  1. หนังทำหัวใจความสัมพันธ์ระหว่างจอนกับการ์ฟิลด์หล่นหายไปอย่างน่าเสียดาย
  2. เป็นการยัดปมที่จะเล่ามากเกินไปหน่อยสำหรับหนังยาวเพียงชั่วโมงครึ่ง
  • โปรดักชัน

    7.0

  • บทภาพยนตร์

    5.5

  • เสียงพากย์

    7.0

  • ความบันเทิง

    7.0

  • ความคุ้มค่าในการรับชม

    7.0

หลังกำเนิดภายใต้รูปแบบการ์ตูนช่องมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521) เจ้าแมวส้มตัวตึงผู้เกลียดวันจันทร์แต่โปรดปรานลาซัญญาและการนั่งขี้เกียจบนโซฟาดูทีวีไปวัน ๆ อย่าง การ์ฟิลด์ (Garfield) ก็ยังคงเป็นคาแรกเตอร์ที่หลายคนยังคงหลงใหลผ่านการดัดแปลงทั้งเป็นแอนิเมชันซีรีส์ และฉบับภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันก็เพิ่งผ่านตาเราไปเมื่อปี ค.ศ. 2004 และ 2006 หรือราว 20 ปีที่แล้ว ในปีนี้ การ์ฟิลด์ก็ได้กลับมาอีกครั้ง ในรูปแบบภาพยนตร์แอนิเมชันซีจีไอ ภายใต้การผลิตของโซนี่ หรือโคลอมเบีย พิคเจอร์ส ที่มีอายุ 100 ปีในปีนี้

SF
สนับสนุนข้อมูลโดย SF Cinema

สำหรับการ์ฟิลด์ฉบับนี้จะพาเราไปรู้จักเจ้าแมวส้มตัวนี้ตั้งแต่ฉบับแมวเด็ก เพราะฉะนั้นผู้ชมก็จะได้ออกอาการ งุ้ย…กับภาพการ์ฟิลด์ฉบับน้อนแมวตาแป๋วที่ไปอ้อนนายจอน (ให้เสียงพากย์โดย นิโคลาส โฮลต์, Nicholas Hoult) หนุ่มโสดสุดแซดในคืนวันฝนพรำ ก่อนจะได้พบว่าเจ้าแมวส้มตาแป๋วที่เขมือบลาซัญญาและพิซซาเป็นถาด ๆ ตอนเด็กจะเติบโตมาเพื่อเป็นแมวอ้วนตัวสีส้มที่สวาปามแต่อาหารแคลอรีสูง และผลาญเงินในบัตรเครดิตเป็นว่าเล่น แต่วันเวลาอันแสนสุขีของเจ้าการ์ฟิลด์ (ให้เสียงพากย์โดย คริส แพรตต์, Chris Pratt) ก็จบลงเมื่อคืนหนึ่งมันถูกจับตัวไปโดย จิงซ์ (ให้เสียงพากย์โดย แฮนนาห์ แวดดิงแฮม, Hannah Waddingham) เจ้าแมวแค้นฝังหุ่นที่สั่งให้การ์ฟิลด์ต้องร่วมมือกับวิค (ให้เสียงพากย์โดย แซมมูเอล แอล แจ็กสัน, Samuel L. Jackson) พ่อบังเกิดเกล้าของเขาในภารกิจปล้นนมนับพันขวด เพื่อชดใช้หนี้แค้นให้จิงซ์

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ ‘The Garfield Movie’ แตกต่างจากหนังหรือแอนิเมชันฉบับอื่นคงหนีไม่พ้นรูปแบบของแอนิเมชันแบบโซนี พิคเจอร์สที่พยายามสร้างรูปแบบการเล่าเรื่องแบบใหม่ ๆ ให้หนังแอนิเมชัน โดยในการ์ฟิลด์ฉบับนี้สิ่งที่ปรากฏเด่นชัดที่สุดหนีไม่พ้นการเป็นหนังที่ทั้งยั่วล้อหนังดัง ๆ และการเป็นหนังดราม่าครอบครัว ซึ่งไม่เคยปรากฏในหนังการ์ฟิลด์เรื่องอื่น ๆ ซึ่งในแง่ดีมันก็ทำให้การ์ฟิลด์ฉบับนี้ไม่ได้ดูเป็นหนังเด็กมากจนเกินไปนัก

รวมไปถึงการเล่นกับเทรนด์ต่าง ๆ ในโลกความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการส่งพิซซาด้วยโดรน หรือกระทั่งรายการทีวีที่เจ้าการ์ฟิลด์ดูก็ยังเป็นคลิปแมวตลก ๆ แถมยังแวะแซวสตรีมมิงดังอย่าง Netflix ที่ในหนังมาเปลี่ยนเป็น Catflix ก็ทำให้ภาพของการ์ฟิลด์ฉบับนี้มีความทันสมัยและดูเป็นปัจจุบัน แต่แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงย่อมต้องแลกกับสิ่งที่เคยเป็นเสน่ห์ของการ์ฟิลด์ นั่นคือการเป็นภาพแทนความปรารถนาลึก ๆ ของจอนหรือเหล่ามนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเราในแง่ของการทำอะไรตามใจ ขี้เกียจได้ตลอดเวลาโดยผลักภาระมาให้มนุษย์ลำบากทำงานหาเงินแทน

รีวิว The Garfield Movie
รีวิว The Garfield Movie

โดยหนังได้แทนที่ความสัมพันธ์ระหว่างจอนกับการ์ฟิลด์ ด้วยฉากการผจญภัยระหว่างการ์ฟิลด์ วิก และโอลดี้ ที่เอื้อให้หนังได้เล่นสนุกกับบรรดามุกเจ็บตัวและมุกโหด ๆ อย่างฉากที่นกโดนรั้วไฟฟ้าช็อกก็ดูน่าตกใจไม่น้อยสำหรับเด็ก ๆ หรือจะเป็นแผนการซ้อนแผนหักหลังของจิงซ์ที่ดูจะไปทางหนังจารกรรมซ่อนเงื่อนเพื่อหวังเลี้ยงความสนุกของหนังตลอด 101 นาทีไว้ให้ได้ แต่น่าเสียดายว่าหัวใจของความเป็นการ์ฟิลด์กลับหายไปจากหนังฉบับนี้แบบไม่น่าให้อภัย

ประการแรกคือคาแรกเตอร์ของการ์ฟิลด์ถูกนำเสนอแบบรวบรัดและไม่ได้ให้ความสำคัญกับพัฒนาการของมันสักเท่าไหร่ แม้ว่าจะได้ปมพ่อลูกมาทำให้เห็นความน่ารักและการเรียนรู้ความหมายของครอบครัว แต่ตัวการ์ฟิลด์เองกลับถูกนำเสนอตอนต้นเรื่องแค่เรื่องกินกับความเจ้าเล่ห์ในการแอบสั่งอาหารมากิน อีกทั้งคาแรกเตอร์เสียงของคริส แพรตต์เอง แม้ว่าจะได้มาตรฐานของการพากย์แอนิเมชันแต่เมื่อเราไปเทียบกับเสียงบิล เมอร์เรย์ (Bill Murrey) ในฉบับหนังเมื่อ 20 ปีก่อนก็อดเปรียบเทียบคาแรกเตอร์การ์ฟิลด์ที่คนทั่วไปรู้จักไม่ได้ เพราะในขณะที่เสียงของเมอร์เรย์ทำให้เราเห็นภาพเจ้าแมวพุงพลุ้ยจอมขี้เกียจ เสียงของแพรตต์ยังสื่อคาแรกเตอร์ของการ์ฟิลด์ออกมาไม่ชัดเจนนัก

ประการต่อมาคือพล็อตของหนังมีปมที่จะเล่ามากเกินไปในเวลาเพียงแค่ชั่วโมงครึ่ง ดังนั้นลำพังเส้นเรื่องหลักที่ว่าด้วยการผจญภัยของการ์ฟิลด์ วิค และโอลดี้ ในการไปปล้นนมก็กินเวลามากพออยู่แล้ว แต่หนังก็ยังอุตส่าห์เบียดเวลาตัวเองมาเล่าปมพ่อลูกระหว่างวิคกับการ์ฟิลด์ หรือความแค้นฝังหุ่นของจิงซ์ ซึ่งบางปมก็ถูกรวบรัดจนไม่ได้มีเวลาในการบิลต์อารมณ์ผู้ชม บางปมก็ยืดยาดจนไปเบียดบังหรือขัดจังหวะความสนุกของพล็อตหลัก แถมการเล่าเรื่องในสองส่วนนี้ยังทำได้จืดชืดเกินไปหน่อย

ประการสุดท้ายที่ถือว่าร้ายแรงที่สุด หนีไม่พ้นการละเลยการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของจอนกับการ์ฟิลด์ โดยหลังจากฉากเปิดเรื่องที่ทำให้เห็นว่าจอนรับการ์ฟิลด์มาเลี้ยง หนังก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวละครจอนสักเท่าไหร่ เพราะแม้ว่าตัวจอนจะดูเป็นตัวประกอบ แต่ความจริงความสนุกของหนังฉบับที่ผ่านมาหรือกระทั่งฉบับแอนิเมชันซีรีส์ คือการได้เห็นจอนเฝ้ามองการ์ฟีลด์ใช้ชีวิตอย่างที่เขาฝันมาตลอด และมันยังสื่อถึงความเหนื่อยล้าของมนุษย์เงินเดือนได้อย่างเห็นภาพ แต่หนังก็เลือกนำเสนอจอนเพียงแค่ในฐานะเจ้าของที่เป็นห่วงเป็นใย และเป็นมนุษย์ที่มักแพ้ทางสัตว์เลี้ยงตัวเองเท่านั้นไปอย่างน่าเสียดาย

แต่อย่างที่บอกไปว่าถึงแม้ความเป็นการ์ฟิลด์ที่เราคุ้นเคยจะลดลง แต่หนังก็ยังคงให้ความบันเทิงผู้ชมได้อย่างไม่น่าเกลียด หรือเอาง่าย ๆ คือยังไม่ถึงขั้นเสียดายค่าตั๋ว เพราะมันก็ยังมีโมเมนต์ดี ๆ อย่างเสียงพากย์ของแซมมูเอล แอล แจ็กสัน ที่ใครจะเชื่อได้ว่าคุณน้าที่เคยพ่นคำหยาบในหนังเป็นว่าเล่นจะให้เสียงพากย์ที่อบอุ่นและทำให้เห็นถึงความเป็นพ่อที่แสนดีได้อย่างน่าประทับใจ รวมถึงคาแรกเตอร์สุดกวนของเจ้าการ์ฟิลด์และโอลดี้ ที่เมื่อเข้าคู่เข้าขากันก็ยังสามารถทำให้ผู้ชมมีแต่รอยยิ้มเปื้อนหน้าได้เสมอ

รีวิว The Garfield Movie
กดที่ภาพเพื่อเช็กรอบฉายและซื้อบัตรชมภาพยนตร์