[รีวิว] Locked Down: หนังรักคู่ร้างติดล็อกดาวน์ ดีเพลิน ๆ สไตล์หนังกุ๊กกิ๊กผู้ดีอังกฤษ

Release Date

14/01/2021

ความยาว

113 นาที

[รีวิว] Locked Down: หนังรักคู่ร้างติดล็อกดาวน์ ดีเพลิน ๆ สไตล์หนังกุ๊กกิ๊กผู้ดีอังกฤษ
Our score
8.0

Locked Down

จุดเด่น

  1. การแสดงที่ดีของทีมนักแสดงมากฝีมือ และรอยยิ้มเสน่ห์ของแอนน์ แฮททาเวย์ ที่ทำให้อมยิ้มไปกับเธอได้ทั้งเรื่อง แถมเรื่องราวยังหลายรส รัก ขม ขำ ลุ้น ท่ามกลางการบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ที่ชาวโลกล้วนเจอล็อกดาวน์กันเป็นส่วนใหญ่

จุดสังเกต

  1. มีความตะกุกตะกักบ้างในการเล่าเรื่องด้วยความพิเศษของการถ่ายทำใต้สถานการณ์โควิด และยังมากรอบจำกัดการเล่าเรื่องให้ไปสุดอารมณ์ฟินไม่ได้ ไม่งั้นฉากไคลแม็กซ์ท้ายเรื่องน่าจะอลังการได้กว่านี้
  • บท

    8.5

  • โพรดักชัน

    6.0

  • การแสดง

    8.5

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    8.0

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    7.5

เรื่องย่อ: แพ็กตัน กับ ลินดา คือคู่รักที่หมดใจให้กัน จริง ๆ ทั้งคู่ควรแยกทางตัวใครตัวมันไปแล้ว ถ้าไม่โดนรัฐบาลอังกฤษสั่งล็อกดาวน์เสียก่อน ทำให้ทั้งคู่ต้องทนอยู่กันไป ขณะที่ลินดากำลังไปได้สวยกับงานตัวแทนสาขาต่างประเทศของบริษัทเครือยักษ์ใหญ่ แพ็กตันกลับเป็นแค่พนักงานส่งของธรรมดา ที่ดันมาตกงานซ้ำเสียด้วย ไม่รู้ว่าการล็อกดาวน์หนนี้จะเป็นโอกาสให้ทั้งคู่หันมาทบทวนความสัมพันธ์ หรือยิ่งเหม็นขี้หน้ากันกว่าเดิม แต่ที่แน่ ๆ ทั้งคู่ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่เรื่องปล้น! เอ่ะ มันมาทางนี้ได้ไงนะ

หนังลงสตรีมมิงทาง HBO Max ทั่วโลก (ส่วนในบ้านเราเป็น HBO Go) ก่อนเข้าฉายในอังกฤษประเทศบ้านเกิดในเดือนมีนาคมนี้เสียอีกสำหรับ Locked Down หนังที่มีทีมนักแสดงและทีมสร้างน่าสนใจสุด ๆ ไล่ไปตั้งแต่ 2 ดารานำทั้ง จิวีเทล เอจิโอฟอร์ ที่เคยเข้าชิงออสการ์นักแสดงนำชายจาก 12 Years a Slave (2013) แต่บ้านเราน่าจะคุ้นหน้าจากบท มอร์ดอ คู่ปรับร่วมสำนักของหมอแปลก Doctor Strange (2016) มากกว่า ประกบกับนักแสดงสาวมากฝีมือขวัญใจผู้ชมอย่าง แอนน์ แฮททาเวย์ เจ้าของออสการ์นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Les Misérables (2012)

Locked Down

ซึ่งตอนแรกดูเหมือนเคมีไม่น่าจะเข้ากันได้ดีนัก เพราะเราไม่ค่อยเห็นเอจิโอฟอร์ที่มักเล่นใบหน้าเคร่งเครียดมาเล่นหนังกุ๊กกิ๊ก แต่ด้วยความมืออาชีพของทั้งคู่มันก็ไปลงตัวกันได้ ถึงโมเมนต์น่ารักอาจไม่เด่น แต่โมเมนต์อดีตคู่รักที่กลายเป็นคู่กัดกันนี่โคตรได้

นอกจากนี้หนังยังได้ดารารับเชิญดัง ๆ มาแจมผ่านเฟซไทม์ และซูม เข้าสถานการณ์โควิด-19 อีกมากมาย ที่น่าดีใจเลยคือมีลุง เบน คิงสลีย์ และ เบน สติลเลอร์ มาเป็นเซอร์ไพรส์ของหนังที่ดูเป็นธรรมชาติมาก ๆ แล้วก็น้องหนูโชแชงแห่งหนังแฮรี่ พอตเตอร์ หรือ เคที เหลียง มาโผล่ให้เกือบจำไม่ได้ด้วย แต่ที่น่ารักสุดคงเป็นเจ้าเม่นที่โผล่มาในตอนต้นของหนังแล้วถูกพูดถึงเรื่อย ๆ ตลอดเรื่อง ที่ด้านเครดิตนักแสดงยังให้ชื่อว่า เจ้าโซนิก เสียด้วย เป็นกิมมิกชวนยิ้มไม่น้อยเลย

Locked Down

หนังยังเป็นผลงานการกำกับในแนวโรแมนติกดราม่าคอมเมดีของผู้กำกับ ดั๊ก ไลแมน แห่ง The Bourne Identity (2002) นับตั้งแต่ไปขลุกทำหนังกับป๋า ทอม ครุยส์ อยู่ถึง 2 เรื่อง คือ Edge of Tomorrow (2014) และ American Made (2017) และสำหรับเรื่องนี้ที่ใกล้เคียงสุดน่าจะพูดได้ว่าคล้ายงานเดิมของไลแมนอย่าง  Mr. & Mrs. Smith (2005) ที่สุด เพียงแต่ลดความเว่อให้กลายเป็นรอยยิ้มแบบชาวบ้าน ๆ ใต้ข้อจำกัดของการถ่ายหนังในช่วงโควิดได้นั่นเอง เพราะนอกจากเรื่องทั้งรักทั้งชังกันไปมาของคู่รักแล้ว หนังยังต่อเรื่องราวกลายเป็นหนังปล้นสุดอลวนได้เฉยเลยด้วย คือหาจุดขายมัน ๆ จนได้สิน่า

Locked Down

งานนี้ยังต้องชมงานเขียนบทของ สตีเฟน ไนท์ มือเขียนบทรุ่นเก๋าที่เคยมีชื่อเข้าชิงออสการ์สาขาบทยอดเยี่ยมจาก Dirty Pretty Things (2002) มาแล้ว ในหนังเรื่องนี้คงเป็นหนังรักระหองระแหงธรรมดาไปเลย ถ้าขาดการหยอดรายละเอียดมากมายให้น่าติดตาม ไม่ว่าจะมุกกุ๊กกิ๊กน่ารักที่เราคุ้นเคยจากหนังรักสไตล์อังกฤษ ตลอดจนสถานการณ์ชวนปวดหัวที่ชวนขำและเอาใจช่วยตัวละครไปพร้อมกัน ว่าสุดท้ายคู่นี้จะรักหรือจะเลิกดีล่ะ ใครชอบหนังรักสไตล์อังกฤษอย่าง Notting Hill (1999) หรือ Love Actually (2003) ก็ถือว่าเรื่องนี้พอแก้ขัดได้ดีพอสมควรเลย

และคงต้องพูดว่าท่ามกลางความตะกุกตะกักของการเล่าที่เห็นได้ว่าเป็นผลพวงหนึ่งจากการถ่ายทำภายใต้การล็อกดาวน์ในอังกฤษ มันจึงกลายเป็นว่าหนังบันทึกช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่คนทั้งโลกต้องเผชิญผ่านทั้งเรื่องราวในหนังเองที่ตัวละครต้องอยู่แต่ในบ้าน คุยกันผ่านทางหน้าจอ เริ่มลองปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านทั้งที่ไม่เคยสนใจมาก่อน การต่อคิวแบบเว้นระยะห่างเพื่อซื้อของ การใส่หน้ากากผ้ากลายเป็นเรื่องที่ต้องกระทำ และการคุยเรื่องประกันสุขภาพถ้วนหน้าก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลทุกประเทศควรคิดอย่างจริงจัง หนังก็ยังบันทึกประวัติศาสตร์ทางอ้อมผ่านความไม่ราบรื่นของโพรดักชันที่เราจะสัมผัสได้ว่าไม่ลื่นเหมือนเคย และการจงใจใช้เฟซไทม์บ้าง ซูมบ้าง ก็เป็นการหยอดเพื่อแก้ปัญหาของตัวเองด้วย

Locked Down

ซึ่งเมื่อเราดูมันหนังมันจึงไม่ใช่เพียงความบันเทิงที่ได้รับ แต่เป็นพลังในการสู้กับชีวิตวันรุ่งขึ้นต่อไป ว่าถึงจะตะกุกตะกักบ้าง โดนสั่งหยุดบ้างคงไม่ต่างจากเรา ๆ ท่าน ๆ แต่ดูสิทีมนักแสดงและทีมงานกองหนึ่ง เขายังทำหนังทั้งเรื่องออกมาให้เราได้ยิ้มได้อิ่มเอมใจอยู่ตอนนี้ได้เลยนะ

Locked Down

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส