[รีวิว] BLACKLIGHT – หนังเลียม นีสัน ที่เซอร์ไพรส์เกินคาด เพราะมีทุกอย่างยกเว้นความสนุก

Release Date

24/02/2022

แนว

Action/Mystery & thriller

เรตผู้ชม

PG-13

เวลา

1 ชั่วโมง 45นาที

ผู้กำกับ

Mark Williams

[รีวิว] BLACKLIGHT – หนังเลียม นีสัน ที่เซอร์ไพรส์เกินคาด เพราะมีทุกอย่างยกเว้นความสนุก
Our score
4.7

[รีวิว] BLACKLIGHT – หนังเลียม นีสัน ที่เซอร์ไพรส์เกินคาด เพราะมีทุกอย่างยกเว้นความสนุก

จุดเด่น

  1. - เลียม นีสันแบกหนังไว้ทั้งเรื่อง ใครเป็นแฟนป๋าเลียมไม่ควรพลาด

จุดสังเกต

  1. เหมือนหนังบู๊ยุคเก่าที่ทั้งบทและตัวละครต่างหลงยุคกันสุด ๆ
  • ความสมบูรณ์ของบท

    5.0

  • คุณภาพนักแสดง

    5.5

  • การเล่าเรื่อง

    4.5

  • โปรดักชัน-การถ่ายทำ

    5.0

  • ความคุ้มค่าในการรับชมตามแนวหนัง

    3.5

BLACKLIGHT เป็นเรื่องราวของ ทราวิส บล็อก (เลียม นีสัน) เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ชีวิตทำงานที่ผ่านมาเขาต้องอยู่หลังเงามืด ไร้ตัวตน คอยช่วยเหลือเหล่าบรรดาสายลับที่ทำงานพลาดและกำลังถูกเปิดโปง จนกระทั่งวันหนึ่งเจ้าหน้าที่บล็อกกลับพบความลับบางอย่างที่เกี่ยวกับภารกิจที่มีตัวเขาเป็นตัวแปรสำคัญและกำลังส่งผลต่อชีวิตผู้บริสุทธิ์ ระหว่างที่เขาสับสนต้องเลือกหน้าที่การงานหรือความถูกต้อง บล็อกพบว่าครอบครัวของเขาหายตัวไป และผู้ที่อยู่เบื้องหลังกลับกลายเป็นหัวหน้าหน่วยงานที่เขาสังกัด

ต้องยอมรับว่าเลียม นีสัน (Liam Neeson) มาไกลจริง ๆ จากดาราที่เล่นแต่หนังชิงรางวัล ผันตัวมาสู่การเป็นแอ็กชันสตาร์วัยเก๋า หลังจากได้ลองลิ้มชิมลางบทนักบู๊วัยดึกจากภาพยนตร์เรื่อง Taken ก็ดูเหมือนว่า เขาจะติดใจจนกู่ไม่กลับ ฟาดงานแอ็กชันติดต่อกันแทบทุกปีจนเราเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะบู๊ไปถึงเมื่อไหร่

และปีนี้นีสันก็พร้อมจะกลับมาวาดลวดลายแอ็กชันกันอีกครั้ง ในบทเอฟบีไอวัยดึกที่ไม่หยุดระห่ำกับ BLACKLIGHT

สำหรับภาพยนตร์เรื่อง BLACKLIGHT เป็นภาพยนตร์ที่แปะไว้เลยว่า นี่คือหนังขายฝีมือของเลียม นีสัน ซึ่งมันก็จริงอย่างที่ผู้สร้างเขากล่าวมานั่นแหละ เพราะนอกจากนีสันแล้วหนังเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรให้ขายแล้วล่ะ

เริ่มที่ตัวละครเจ้าหน้าที่บล็อก โดยนีสันนำเสนอในบทคุณตาของหลานสาววัยกระเตาะและตำรวจใหญ่วัยไม้ใกล้ฝั่งในคนเดียวกันได้เป็นอย่างดี ตลอดทั้งเรื่องเราจะเห็นถึงความเจ็บปวดจากอดีตที่สร้างปมใหญ่ให้ตัวละครของเขาดูเป็นคนอมทุกข์ตลอดเวลา ทั้งสีหน้า แววตา ฉากแอ็กชัน นีสันก็เอาบทนี้ได้อยู่หมัด ซึ่งก็ถือว่าดีงามตามมาตรฐาน เพราะคาแรกเตอร์ในเรื่องนี้ก็ไม่ได้ต่างจากหนังแอ็กชันเรื่องอื่น ๆ ของเขาเท่าไหร่ เราจึงไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไรไปกับการแสดงของนีสันมากนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาช่วยแบกหนังไว้มากจริง ๆ 

เมื่อมองทางด้านเนื้อหา ตอนต้นเรื่องหนังเปิดปมปริศนาได้อย่างน่าติดตามแถมยังมีซีนที่ได้โชว์ความเทพของเจ้าหน้าที่บล็อกให้เราได้ว้าวด้วย แต่ทว่าความว้าวก็มีแค่นั้นแหละ หลังจากนั้นหนังกลับลดขนาดตัวเองลงเรื่อย ๆ จนกลายเป็นละครหลังข่าวที่บังเอิญได้ทำเป็นหนังโรง เพียงแค่เปลี่ยนจากตอนย่อย ๆ มาเป็นซีเควนซ์ที่รวบรัดอัดมาในหนังเรื่องเดียว นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่รู้สึกอินกับอะไรเลย จะดราม่าก็ไม่ผ่าน จะแอ็กชันก็ไม่สุด แถมจุดที่ควรให้น้ำหนักอย่างฉากย้อนความหลังที่เกี่ยวพันถึงปมใหญ่ในเรื่องนั้น หนังก็ดันเล่นง่ายโดยให้ตัวละครมานั่งเล่าทื่อ ๆ ซะงั้น ซึ่งเป็นอีกจุดที่เราค่อนข้างเสียดายเป็นอย่างมาก

ทั้งตัวอย่างและคำโปรยในโปสเตอร์ ต่างหลอกเราว่า BLACKLIGHT จะเป็นหนังแอ็กชันที่มันเต็มสูบ แต่ความจริงแล้วหนังกลับอุดมไปด้วยซีนที่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใส่มาทำไม หาความสำคัญก็ไม่มี หาความระทึกก็ไม่เจอ แถมหนังยังบียอนด์ไปกว่านั้นด้วยการอุดมไปด้วยตัวละครที่โง่เขลา แม้แต่ตัวเอกอย่างเจ้าหน้าที่บล็อกผู้มีไหวพริบปฏิภาณก็ยังติดความเขลาจากตัวละครตัวอื่นมาด้วย

ซึ่งความเก่งกาจของผู้สร้างยังไม่จบแค่นั้น พวกเขาสามารถสร้างหนังแอ็กชันที่ให้อารมณ์แบนราบออกมาได้ ถึงขนาดที่ว่าจังหวะเร้าอารมณ์ของเพลงประกอบในฉากแอ็กชันก็ยังชวนเราง่วงจนเกือบจะหลับเลยล่ะ แต่อนิจจา ผู้ชมคนอื่น ๆ รอบตัวเราน่ะ หลับไปเรียบร้อยแล้ว

และที่เจ็บปวดกว่านั้นคือหนังทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้กลางทาง ในขณะที่เราคิดว่าหนังกำลังจะปูเข้าสู่ไคลแมกซ์ที่จะทำให้เราหายง่วงได้ หนังกลับหักมุมโดยให้ปมทุกอย่างถูกคลี่คลายง่าย ๆ และไม่มีไคล์แมกซ์ซะงั้น

ความดีงามของเรื่องนี้อาจมีเพียงแค่เลียม นีสันบังเอิญเผลอตัวมาเล่น และงานภาพที่สวยงามจนอยากออกปากชม โดยซีนภาพกว้างนั้นถ่ายได้สวยเหมือนกับงานมิวสิกวิดีโอ จนรู้ได้ทันทีว่าผู้กำกับภาพของเรื่องนี้บรรจงจัดวางมุมกล้องอย่างดี ซึ่งทำให้เรายังพอเพลิดเพลินไปกับงานภาพของหนังได้

สำหรับแฟน ‘ป๋าเลียม’ หรือผู้ชมที่อยากลองดู ก็ให้คิดซะว่า BLACKLIGHT เป็นหนังที่นำเสนอแบบภาพยนตรฺแอ็กชันยุค 80s ก็ถือว่าไม่เลวนะ เพราะหนังมีองค์ประกอบที่ค่อนข้างเหมาะ ทั้งพระเอกวัยดึกที่เตรียมจะวางมือ ตัวโกงสุดเก๋าที่รู้จักตัวเอกเป็นอย่างดี รวมทั้งตัวประกอบที่ทำให้เราแอบตลกในความโง่เขลา จนชวนให้แอบขำเบา ๆ ที่บทแบบนี้ยังมีในปี 2022 ได้ 

จริง ๆ หนังค่อนข้างน่าเสียดายในแง่ของภาพรวม ทั้งตอนต้นที่เปิดออกมายิ่งใหญ่ แต่กลับเบาลงไปจนถึงช่วงท้ายที่แผ่วซะเหมือนถูกตัดจบ อีกทั้งบทภาพยนตร์ก็ไม่มีความน่าติดตาม การนำเสนอในแต่ละซีนดูทื่อ ซะจนเหมือนหนังเกรด B ที่มีเลียม นีสันแปะป้ายอย่างไรอย่างนั้น 

แต่หากจะมองอีกแง่ หนังเรื่องนี้อาจจัดอยู่ในหมวดหนังคัลต์ชั้นครูเลยก็ได้ ทั้งบทบาทที่ชวนเราขำโดยไม่ตั้งใจ หรือแอ็กติงที่แข็งเป็นไม้ รวมทั้งฉากแอ็กชันที่ชวนหาวอยู่เรื่อยไป ซึ่งถ้าผู้สร้างต้องการทำหนังทดลองในหัวข้อ ‘ทำหนังแอ็กชันอย่างไรให้คนดูหลับ’ ก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้วล่ะ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส