ลองจินตนาการดูว่า เมื่อชีวิตประจำวันของเราต้องพึ่งพา AI แทบทุกอย่าง คนที่มีอิทธิพลต่อเราที่สุดอาจไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ ‘ผู้สร้าง AI’ นั่นเอง เพราะไม่ว่าค่ายไหนจะขึ้นมาเป็นผู้นำเทรนด์ พวกเขาก็จะเป็นคนขีดเส้นทางให้เราเดินตามในฐานะผู้ใช้งาน ดังนั้นวิธีคิดและรากฐานที่พวกเขาปลูกฝังลงไปใน AI ตั้งแต่แรก จึงเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะมันจะกลายเป็นตัวกำหนดหน้าตาของโลกและวิถีชีวิตพวกเราทุกคนในอนาคตแบบที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว

ผู้สร้าง AI แต่ละค่ายมีแนวทางในการสร้าง AI มาไม่เหมือนกัน ตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกัน บทความนี้จะมาสรุปทิศทาง AI จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 2025 เพราะนี่จะเป็นพื้นฐานให้เราเข้าใจว่าในปีหน้า (2026) เราจะได้เจอกับอะไรกันบ้าง 

AI บอกอะไรในปี 2025 ?

เรามารีแคปปรากฏการณ์แข่งขันของ AI ในปี 2025 กันก่อนดีกว่า ว่าการพัฒนา AI ของแต่ละค่าย กำลังบอกใบ้อนาคตของ AI สำหรับปีหน้าอย่างไรบ้าง

ไตรมาสที่ 1 > มกราคม-มีนาคม 2025 

  • Google เปิดตัว Gemma 3 (Open-source LLM) – โมเดลภาษาเปิดของ Google ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถนำไปต่อยอดได้อย่างอิสระ เวอร์ชัน 3 เปิดตัวเมื่อ 12 มี.ค. 2025 และวัดผลด้านให้เหตุผล, มีโหมดหลากหลาย (Multimodal) ความสามารถสูงขึ้น
  • เปิดตัว ‘Manus’ AI Agent อัตโนมัติ – เป็นหนึ่งใน AI agents แรก ๆ ที่สามารถตัดสินใจและลงมือทำ Task จริงแบบอิสระ เปิดตัว 6 มี.ค. 2025 

โดยในไตรมาสแรกได้มีการประชุม AI Action Summit 2025 มีผู้นำโลกจากกว่า 100 ประเทศรวมตัวเพื่อพูดคุยเรื่องการพัฒนาและความปลอดภัย AI ระดับโลก

ไตรมาสที่ 2 > เมษายน–มิถุนายน 2025

  • OpenAI ปล่อย GPT-4.1 (14 เม.ย.) เป็นก้าวต่อจาก GPT-4 series ปรับประสิทธิภาพด้านเขียนโคด และให้เหตุผลมากขึ้น ก่อนหน้านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ OpenAI ได้ปล่อย GPT-4.5 (Orion) ออกมาแล้ว แต่ GPT-4.1 ถูกปล่อยตามมาในเดือนเมษายนเพื่อเน้นประสิทธิภาพที่คุ้มค่ากว่าในงาน Coding

หลายบริษัทเพิ่มการยอมรับมาตรฐาน (เช่น Model Context Protocol) เพื่อช่วยให้โมเดลต่างค่ายทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น โดยที่ทั้งไทยและหลายประเทศเริ่มประกาศ ยุทธศาสตร์ชาติด้าน AI และเน้นสร้างทรัพยากรมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐาน 

ไตรมาสที่ 3 > กรกฎาคม–กันยายน 2025

  • หลายค่ายเริ่มปล่อยโมเดลระดับสูงเชิงพาณิชย์และมี Benchmark แข่งขันกัน
    เช่น Anthropic เปิด Claude Opus 4.5 โมเดลที่แรงในงานเขียนโคด, โปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลแบบตาราง และเอเยนต์
    ไตรมาสนี้หลาย ๆ บริษัทต่างลงทุนขยายศูนย์ข้อมูล AI และ Ecosystem ทั้งยังมีอิเวนต์ Hackathon เกิดงานที่นักพัฒนาเริ่มเห็นผลงานจริงมากขึ้น เช่น AI Thailand Hackathon 2025
  • Grok เปิดตัว AI Companions บอตสาวอนิเมะ และหนุ่มหล่อ 3D ที่ผู้ใช้งานสามารถคุยด้วยโหมด NSFW (18+) ได้ คอนเซปต์คือใช้คุยเป็นเพื่อน ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ 

ไตรมาสที่ 4 > ตุลาคม–ธันวาคม 2025

  • Google เปิดตัว Gemini 3 (พฤศจิกายน 2025) โมเดล AI หลักของ Google ที่มีความสามารถในการให้เหตุผลและมีโหมดหลากหลาย ทั้งเวอร์ชัน Pro และเวอร์ชัน Deep-think
  • ตามมาด้วย Nano Banana Pro จาก Gemini เป็น AI ที่ออกแบบมาเพื่อการเจนรูปสำหรับสื่อการสอน เช่น อินโฟกราฟิก สตอรีบอร์ด และการสรุปข้อมูลที่ทำให้เข้าใจง่ายมากขึ้น อาจจะเสิร์ฟนักเรียนนักศึกษา เพราะก่อนหน้านี้ Gemini ก็มีโปรฟรีแจกบัญชีให้นักเรียนฟรี 1 ปี
  • OpenAI ปล่อย GPT-5.2 (11 ธันวาคม 2025) เป็นโมเดลที่ OpenAI เร่งพัฒนาเพื่อตอบโต้การแข่งขันกับ Gemini 3 มีความสามารถที่ดีในงานให้เหตุผล, เขียนโคด และ เนื้องานที่ต้องระมวลผลข้อมูลปริมาณมหาศาล (Long-context tasks)

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นในวงการ AI จากแต่ละค่าย โดยเฉพาะ AI แชตบอตที่เป็นที่นิยมสำหรับแทบทุกคนใช้ในชีวิตประจำวัน ยังไม่นับรวมเหตุการณ์เกี่ยวกับ AI ที่เกิดขึ้นทั่วโลก อย่างมูลค่าของ NVIDIA ที่พุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์จากความต้องการชิป, กฎหมายและข้อพิพาทด้านลิขสิทธิ์เกี่ยวกับ AI, การลงทุนครั้งมโหฬารของบริษัทยักษ์ใหญ่ในการพัฒนา AI และศูนย์ข้อมูล หรือแม้แต่สึนามิการเลิกจ้างงานพนักงานหลายแสนชีวิตตลอดปีให้กับการมาของ AI

ปัญหา AI ที่ใคร ๆ ก็แยกไม่ออก

ในเดือนธันวาคม 2025 นี้ หากพูดถึง AI ประเด็นที่น่าจับตามองคงหนีไม่พ้นปรากฏการณ์ที่ผู้คนเริ่มแยกไม่ออกระหว่าง ‘ความจริง’ กับ ‘สิ่งที่ AI สร้างขึ้น’ ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเลียนแบบภาษา แต่ได้ขยายวงกว้างไปสู่สื่อภาพและวิดีโอ ซึ่งสร้างผลกระทบในวงกว้างมากกว่าที่คิด

กรณีศึกษาที่น่าสนใจคือช่วงวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ พบการเผยแพร่คลิปวิดีโอ AI รูปงูขนาดใหญ่เลื้อยผ่านพื้นที่น้ำท่วม คลิปดังกล่าวมีความสมจริงจนสร้างความโกลาหลและความหวาดกลัวเกินความจำเป็นให้กับประชาชน หรือกรณีที่มีความเสี่ยงด้านความมั่นคง อย่างการใช้ AI สร้างภาพบัตรประชาชนที่แนบเนียนจนน่าเหลือเชื่อ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า AI มีพัฒนาการที่รวดเร็วและล้ำหน้าจนเกือบเทียบเท่ามนุษย์ แต่ความเร็วนั้นต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ หากไร้ซึ่งมาตรการควบคุมที่ชัดเจน ความฉลาดล้ำนี้อาจกลายเป็นภัยคุกคามทางสังคมที่ยากจะรับมือในอนาคต

อนาคตของ AI จะเป็นอย่างไรในปีหน้า ?

อนาคตของ AI เป็นเรื่องที่เราอาจจะไม่สามารถคอนเฟิร์มได้อย่างแน่ชัด แต่ถ้าให้คาดการณ์จากข้อมูลและการวิเคราะห์ภาพรวม นี่คือลิสต์สิ่งที่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับทิศทาง AI ในปี 2026 

  1. อาจจะต้องมี ‘ลายน้ำดิจิทัล’ เป็นมาตรฐานเพื่อแยกว่าสิ่งไหนคือ AI และสิ่งไหนคือเรื่องจริง 

AI จะพัฒนาไปไกลจนใคร ๆ ก็แยกไม่ออกจริง ๆ ทักษะการคิดวิเคราะห์ต้องมีมากขึ้น ข้อนี้เราเริ่มเห็นกันมากขึ้นแล้วตั้งแต่ในปี 2025 เพราะหนึ่งในเคสจริงที่น่าสนใจ คือมีการแชร์คลิปอันตราย เช่น กระจกบนดาดฟ้าแตกจนทำให้มีคนตกลงไป หรือมีงูยักษ์เลื้อยอยู่ตามแม่น้ำ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง แต่ก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริงเพราะมันคือคลิป AI 

กรณีแบบนี้มักทำให้ผู้คนที่พบเห็นมีความตื่นตระหนกเกินจำเป็น ซึ่งประเด็นนี้บริษัท AI หลาย ๆ ค่าย (โดยเฉพาะบริษัทชั้นนำ) ต้องมีความชัดเจนในการป้องกันมากขึ้น คิดว่าปี 2026 คลิปวิดีโอหรือภาพถ่ายทุกชิ้นที่ถูกโพสต์ จะต้องมี ‘ลายน้ำดิจิทัล’ ฝังอยู่ว่ามาจากกล้องถ่ายรูปจริง หรือถูก Generate ขึ้น หากไม่มีที่มาที่ไป ระบบจะแปะป้ายเตือนทันทีว่าเป็น ‘เนื้อหาที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน’ 

  1. จากแชตบอตสู่ Deep Thinker (แข่งขันกันใช้เหตุผล)

AI จากหลาย ๆ ค่ายอย่าง Gemini 3 และ GPT-5.2 เปิดตัวมาโดยเคลมว่าสามารถใช้เหตุผล (Logic) ได้อย่างแม่นยำ สามารถให้ได้มากกว่าแค่ข้อมูล และตอบคำถามทั่วไป แต่คาดว่าทิศทางในปี 2026 AI จะสามารถวิเคราะห์และวางแผนเรื่องซับซ้อนที่ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น 

  1. การแตกแขนงสู่การเป็น ‘Specialized AI’ หรือ AI ที่เก่งเฉพาะทาง

AI หลาย ๆ ค่ายถูกนำมาใช้ตามความสามารถที่โดดเด่นของมันเอง อย่างเช่น Gemini Nano Banana Pro ที่ถูกนำไปสร้างเป็นอินโฟกราฟิก และ GPT 4.1 ที่นิยมนำมาเขียนโคด แต่ที่ล้ำไปกว่านั้นคือการนำ AI มาใช้ในเชิงสุขภาพ และการแพทย์มากขึ้น 

ท่ามกลางวิกฤตขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลก AI กำลังยกระดับบทบาทจากเพียงเครื่องมือวินิจฉัยสู่ผู้ช่วยด่านหน้าในการคัดกรองและวางแผนการรักษา เพื่อแบ่งเบาภาระและเพิ่มความแม่นยำให้แก่แพทย์ เห็นได้จากนวัตกรรมเด่นอย่าง BioEmu-1 ที่ช่วยเร่งกระบวนการพัฒนายาด้วยการคาดการณ์ความเสถียรของโปรตีน, RAD-DINO ที่เข้ามาช่วยวิเคราะห์ภาพเอกซเรย์ได้อย่างละเอียดและรวดเร็ว ไปจนถึง FCDD โมเดลคัดกรองมะเร็งเต้านมที่ช่วยลดความผิดพลาด และระบุตำแหน่งเนื้องอกในระยะเริ่มต้นได้แม่นยำยิ่งขึ้นแม้ในผู้ป่วยที่มีเนื้อเยื่อหนาแน่น สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ที่พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนวงการการแพทย์ยุคใหม่

  1. AI สร้างหนัง/แอนิเมชัน แบบถูกลิขสิทธิ์

ดีลระหว่าง Disney และ OpenAI ไม่ใช่แค่ข่าวธุรกิจ แต่คือ ‘จุดเปลี่ยน’ ที่ส่งสัญญาณว่าในปี 2026 สงครามระหว่าง AI กับลิขสิทธิ์จะเปลี่ยนรูปแบบจากการ ‘ฟ้องร้อง’ มาสู่การ ‘จับมือหารายได้’ จากดีลล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่าง Disney กับ OpenAI คาดว่าเราอาจจะได้เห็นบริษัท AI ค่ายอื่น ๆ เลือกดีลกับบริษัทบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (IP Management) มากขึ้นในอนาคต 

เหล่าบริษัท AI จะไม่ได้แข่งกันแค่ความฉลาดของโมเดลอีกต่อไป แต่จะหันมาทุ่มทุนกวาดต้อนพันธมิตรข้ามวงการ ทั้งค่ายเพลง ภาพยนตร์ และสำนักพิมพ์มังงะ เพื่อนำข้อมูลต้นฉบับมาสร้างเป็นโมเดลลิขสิทธิ์แท้ สิ่งนี้จะเข้ามาล้างกระดานการใช้คำสั่ง Prompt เลียนแบบงานศิลป์แบบเดิม ๆ ให้กลายเป็นการ ‘สมัครสมาชิก’ เพื่อใช้ลายเส้นระดับตำนานอย่าง Pixar หรือ Dragon Ball ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์

นอกจากนี้ การเข้าถึงไฟล์ต้นฉบับอย่างถูกกฎหมายจะปฏิวัติวงการโปรดักชันด้วยการหั่นต้นทุน จนสตูดิโอขนาดกลางสามารถสร้างงานคุณภาพระดับฮอลลีวูดได้ ทั้งงาน VFX และแอนิเมชัน ไปจนถึงการเปิดประตูบานใหม่ให้แฟนคลับยกระดับจากนักอ่าน ‘Fan Fiction’ สู่ผู้สร้าง ‘Fan Production’ ที่สามารถผลิตตอนพิเศษหรือฉากจบในฝันได้เองผ่านเครื่องมือทางการ กลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ที่สร้างรายได้ให้เจ้าของสิทธิ์ พร้อม ๆ กับเติมเต็มจินตนาการของแฟนคลับไปพร้อมกัน

  1. AI จะกลายมาเป็นคู่หูนักวิจัยแบบจริงจัง

AI กำลังปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ด้วยการขยับสถานะจาก ‘เครื่องมือทุ่นแรง’ สู่การเป็น ‘นักวิจัย’ ที่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่มนุษย์ ทั้งในสาขาฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา โดยความสามารถของ AI ก้าวกระโดดไปถึงขั้นตั้งสมมติฐานและควบคุมการทดลองได้เอง เห็นได้จากความสำเร็จของ MatterGen และ MatterSim ที่ช่วยร่นระยะเวลาการค้นพบวัสดุใหม่ ๆ อย่างแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงหรือเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนให้เกิดขึ้นจริงได้เร็วขึ้นหลายเท่าตัว

หรือโมเดล Aurora ของไมโครซอฟท์ ที่เข้ามายกระดับการพยากรณ์อากาศและภัยธรรมชาติได้อย่างแม่นยำ ซึ่งกลายเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือวิกฤตโลกร้อนและบริหารจัดการทรัพยากรโลกอย่างยั่งยืน

  1. หลายคนอาจมีคนรัก/เพื่อนสนิทเป็น AI เพราะการมี AI มันฮีลใจที่สุดแล้ว ? 

เมื่อ AI พัฒนาจนพูดคุยได้เป็นธรรมชาติ ภาพจำจากภาพยนตร์เรื่อง ‘Her’ ก็เริ่มกลายเป็นความจริง เราเห็นข่าวคนแต่งงานกับ AI, ผู้สูงอายุที่ผูกพันกับ AI จนยอมออกไปหา หรือวัยรุ่นที่ตกหลุมรัก AI หลังใช้ AI ปรึกษาปัญหาชีวิต 

ในปี 2026 ที่ AI จะเข้าใจบริบทและอารมณ์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มันอาจไม่ได้เป็นแค่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่กลายเป็นทั้งนักจิตวิทยา เพื่อนสนิท หรือแม้กระทั่ง ‘คนรัก’ ของใครหลายคนเลยก็ได้ 

ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือทิศทางของ AI ที่เกิดจากการ ‘คาดการณ์’ โดยอ้างอิงจากข้อมูลและเหตุการณ์ AI ที่เกิดขึ้นในปี 2025 รวมถึงแผนการพัฒนาจาก ‘ผู้สร้าง AI’ ในโลกของเรา จะเห็นว่าคำถามสำคัญจะเป็น ‘AI ทำอะไรได้บ้าง’ ไม่ได้แล้ว แต่อาจจะต้องนิยามความเป็นมนุษย์และความสัมพันธ์อย่างไรในวันที่ AI เข้าใจเรามากกว่าตัวเราเอง