เมื่อวันเสาร์ที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา หากใครได้ชมการแสดงสดของวง ‘VALLEY (แวลลีย์)’ วงอัลเทอร์เนทีฟ-ป๊อปจากแคนาดา ที่มาแสดงในไทยเป็นครั้งแรกในงาน ‘ROAD TO SONIC BANG 2023’ ก็คงรู้สึกประทับใจในการแสดงที่สนุกสนานและเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งวัยเยาว์ของพวกเขาอย่างแน่นอน แต่หากใครที่อาจยังไม่รู้จักพวกเขาดีหรือพลาดโอกาสนี้ไปเรามีเรื่องราวของพวกเขามาฝากผ่านบทสัมภาษณ์นี้

‘VALLLEY’ ประกอบไปด้วยสมาชิกทั้ง 4 คือ

‘ร็อบ ลาสก้า (Rob Laska)’ (ร้องนำ)

‘ไมเคิล (มิกกี้) แบรนโดลิโน (Michael (Mickey) Brandolino)’ (กีตาร์,ซินธ์)

‘อเล็กซ์ ดิเมาโร (Alex Dimauro)’ (เบส)

‘คาราห์ เจมส์ (Karah James)’ (กลอง, ร้อง)

งานดนตรีของ VALLEY นั้นมีจังหวะหนักแน่นและสดใหม่ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพวกเขาได้ปล่อยซิงเกิลและ EP อย่างต่อเนื่องจนได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ฟังทั่วโลก และกลายเป็นวงดนตรีขวัญใจวัยรุ่น Gen-Z ไปในที่สุด ซิงเกิลอย่าง “Like 1999” ได้รับความนิยมอย่างสูงและกลายเป็นไวรัลบน TikTok นอกจากนี้พวกเขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล “Juno Awards” อีกด้วย

ล่าสุด VALLEY ได้มีผลงานอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 ‘Lost In Translation’ ปล่อยออกมาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งมาพร้อมซิงเกิลฮิตอย่าง “Have a Good Summer (Without Me)” “Break for You” และ “Throwback Tears” รวมไปถึง “Natural” ที่เพิ่งปล่อยมิวสิกวิดีโอออกมาไม่นานนี้ เป็นเพลงที่มีทั้งเนื้อเพลงที่โดนใจและดนตรีที่ติดหูจนทำให้หลงใหลได้ไม่ยาก

เรามาทำความรู้จักพวกเขาให้ดียิ่งขึ้นผ่านบทสนทนานี้ที่จะทำให้เราได้สัมผัสถึงมุมมองความคิด แนวคิดในการทำเพลง และพลังแห่งมิตรภาพที่พวกเขามี ซึ่งส่งผลถึงงานดนตรีที่มีพลังและงดงามของ VALLEY

นี่เป็นครั้งแรกของพวกคุณที่มาประเทศไทยใช่ไหม อยากรู้ว่าคุณได้ไปที่ไหนมาแล้วหรือยัง หรือได้ลองชิมอาหารไทยบ้างไหม

ร็อบ : เราได้ลองกันบ้างแล้วครับ มีแกงเผ็ดไทย ผัดไทย และก็อาหารหลายอย่างเลยรอบ ๆ ที่พักของเรา แล้วก็พวกขนม ของว่างต่าง ๆ เรามีขนมในโรงแรมเยอะมาก เพราะแฟน ๆ ที่สนามบินเอาขนมมาให้เรา เราก็เลยค่อย ๆ ได้ลองชิม มีเยอะมาก แล้วก็มีแกงไทยที่เราได้ชิมแล้ว อร่อยมาก ๆ เลย พวกคุณมีอาหารอร่อย ๆ มากมาย เนื้อดี ๆ ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ของดี ๆ มากมาย

มิกกี้ : จริง ๆ แล้วเราเป็นแฟนตัวยงของอาหารไทยเลยล่ะ ตอนเราอยู่ที่บ้านที่โตรอนโต เรามักจะไปร้านอาหารไทย ผมชอบแกงเผ็ดมาก ผมชอบกินอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้ง ผมเป็นแฟนตัวจริงของแกงเผ็ดเลยล่ะ

ร็อบ : และผมก็ชอบแกงเขียวหวานด้วย รสชาติของกะทินั้นยอดเยี่ยม

มิกกี้ : ใช่ ข้าวมันกะทิกับแกงเผ็ดไก่ สุดยอดไปเลย

พวกคุณเพิ่งปล่อยอัลบั้มชุดที่ 2 ‘Lost In Translation’ ออกมาในปีนี้ อยากรู้ว่าอะไรคือแรงบันดาลใจเบื้องหลังอัลบั้มชุดนี้

ร็อบ :  ตอนทำอัลบั้มแรกเราใช้เวลาเขียนอยู่พักหนึ่งเลย มันเป็นเหมือนกระบวนการซึ่งทำให้อัลบั้มแรกมีระยะเวลาในการพัฒนาที่ยาวนาน และจากนั้นโรคระบาดก็เกิดขึ้น ทำให้โลกต้องปิดตัวลง เราต้องคิดให้ออกว่าเราจะใช้วิธีอะไรที่จะทำให้ร่างกายและความรู้สึกยังกระฉับกระเฉง เราจึงทำ EP ขึ้นมาอีก 2 EP ซึ่ง EP เหล่านั้นเป็นการทำงานในแบบที่เราลดระดับความกดดันลง เป็นการทดลองที่เราสนุกกับดนตรีของเรา จากช่วงเวลานั้น “Like 1999” ก็ถือกำเนิดขึ้น โชคดีที่มันเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ ๆ จากนั้นเราก็ไปทัวร์กันในหลาย ๆ ที่และรู้สึกเหมือนเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับอัลบั้มที่ 2

และแน่นอนว่าอัลบั้มที่ 2 น่ากลัวที่สุดเสมอเพราะคุณต้องติดตามความสำเร็จจากผลงานก่อน ๆ  ในตอนเริ่มต้น เรารู้สึกกดดันมาก แต่มันก็จางหายไปเมื่อเราเข้าสู่กระบวนการทำอัลบั้ม ตอนแรกอัลบั้มนี้มีเพลงชื่อ “Otis and Maeve” ซึ่งเราตั้งใจเขียนขึ้นสำหรับอัลบั้มนี้ซึ่งต่อมามันได้กลายเป็น “Lost In Translation” เป็นเพลงที่เราได้กลับมาแก้มาเขียนมันใหม่และเป็นหนึ่งในเพลงที่เก่าแก่ที่สุดในอัลบั้มเพราะเป็นเพลงที่เราได้เขียนได้ก่อนแล้วสักพักใหญ่ ๆ 

จากนั้นเราก็เริ่มได้ชื่อเพลงและเริ่มสำรวจธีมของอัลบั้ม อัลบั้มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตของเรา ประสบการณ์ในการเป็นวงดนตรี ความอกหัก และการสูญเสีย สื่อถึงความรู้สึกของการเปลี่ยนจากการเป็นวงที่ค่อนข้างไม่เป็นที่รู้จักไปสู่การเป็นที่รู้จักมากขึ้น เป็นการเจาะลึกถึงการเติบโตขึ้น การเข้าสู่วัย 20 กลาง ๆ ถึงปลาย ๆ และการสะท้อนประสบการณ์เหล่านั้น เป็นอัลบั้มที่เป็นการแสวงหา ถามคำถามมากมายโดยไม่จำเป็นต้องให้คำตอบที่ชัดเจน เรากำลังนำเสนอภาพรวมของความรู้สึกในช่วงอายุ 26 – 28 ปี นี่คือสาระสำคัญของมันครับ

แล้วมันมีความเชื่อมโยงอะไรกับภาพยนตร์เรื่อง ‘Lost In Translation’ ของ Sofia Coppola ไหม

ร็อบ : โอ้ ผมชอบหนังเรื่องนั้นมากเลยครับ และผมก็อยากให้เธอฟังอัลบั้มนี้ด้วย เธอเป็นคนที่มีรสนิยมที่ดีมากครับ ผมรักภาพยนตร์เรื่องนั้น มันเป็นภาพยนตร์ที่สวยงาม ผมคิดว่าถ้าคุณปิดเสียงภาพยนตร์และเล่นอัลบั้มของเรา มันจะเข้ากันได้ดีเลยล่ะ

คุณมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับกระบวนการทำงานอัลบั้มนี้ที่อยากเล่าให้เราฟังไหม

ร็อบ : เป็นเรื่องภาพปกอัลบั้มครับ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เดิมทีเราแค่ถ่ายภาพโปรโมตสำหรับงานต่าง ๆ ของเรา เราจะทำแบบนี้ทุก ๆ 6 เดือนหรือมากกว่านั้น ทีนี้ในช่วงหนึ่งของการถ่ายภาพเหล่านี้ เราก็เล่นกันและช่างภาพก็ได้ถ่ายเอาไว้จนในที่สุดมันก็เป็นท่าโพสต์ที่กลายมาเป็นปกอัลบั้มโดยบังเอิญ เราไม่ได้วางแผนให้เป็นอาร์ตเวิร์กแต่มันเกิดขึ้นแบบนั้นซึ่งเราก็รู้สึกว่ามันโอเคเลยล่ะ

ร็อบ : หลาย ๆ อย่างมักเกิดขึ้นในแบบนั้นครับ อย่างเพลง “We Don’t Need Malibu” ที่เป็นเพลงสุดท้ายที่เขียนขึ้นสำหรับอัลบั้มนี้ ซึ่งมันมารวมกันในนาทีสุดท้าย ในตอนที่เราได้เริ่มมิกซ์เพลงอื่น ๆ แล้ว จากนั้นเราก็เสร็จสิ้นการผลิตและกำลังจะส่งมันออกไปแล้ว ส่วน “Fishbowl” ซึ่งเป็นเหมือนเอาต์โทรสำหรับอัลบั้มก็เกือบจะไม่ได้เข้าสู่อัลบั้มแล้ว เราได้เพิ่มมันเข้าไปในนาทีสุดท้ายเลยจริง ๆ อัลบั้มนี้มีการตัดสินใจในนาทีสุดท้ายมากมาย มันเป็นเพราะเราเร่งรีบในการทำอัลบั้ม เลยทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ามันยังไม่เสร็จจริง ๆ และเรามักจะคิดไปคิดมาหลายครั้งและมีการตัดสินใจที่รวดเร็วมากมายในอัลบั้มชุดนี้ครับ

ล่าสุด VALLEY ปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลง “Natural” ออกมา อยากรู้ว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจเบื้องหลังเพลงและมิวสิกวิดีโอของเพลงนี้

มิกกี้ : สำหรับที่มาของเพลงนี้ ผมไม่แน่ใจว่าฉันควรพูดถึงเรื่องนี้ดีไหม (หัวเราะ) แต่เรามีคนที่แต่งเพลงนี้ด้วยเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเราซึ่งเคยลองเห็ดวิเศษในแคนาดา แค่ปริมาณเล็กน้อยก็ทำให้เขาอารมณ์ดีได้ละ เขามาหาเราและลงเอยด้วยการพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขา มันเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร และอื่น ๆ จนบทสนทนาของเราเปลี่ยนไปสู่หัวข้อต่าง ๆ เช่น ความงามของธรรมชาติและประสบการณ์ชีวิตในระดับที่ลึกขึ้น จากจุดนั้น เราเชื่อมโยงความคิดเหล่านี้เข้ากับความสัมพันธ์ในชีวิต ทุกความสัมพันธ์ที่ล้วนมีความท้าทาย มีคนบางคนที่คุณไม่เคยคิดว่าจะได้พบ แต่พอได้พบก็ราวกับว่าคุณรู้จักพวกเขามาหลายปีภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคู่หู ความเชื่อมโยงเหล่านั้นก็เป็นธรรมชาติ ในระหว่างการเขียนของเรา เราเพียงแค่มีส่วนร่วมในการสนทนามากมาย หลายชั่วโมงผ่านไปพร้อมกับการพูดคุยถึงชีวิตและแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับความเป็นธรรมชาติทั้งหมด

ในที่สุดเมื่อเรานั่งลงเพื่อเขียนเพลง เนื้อเพลงก็เกือบจะมารวมกันอย่างง่ายดาย ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยกรู๊ฟกลองที่คุณได้ยินตอนเริ่มต้น แล้วมันก็ไหลไปตามนั้น และประมาณหนึ่งชั่วโมง เราก็ทำมันเสร็จ เป็นเรื่องตลกเวลาคิดว่าแรงบันดาลใจมาจากไหน ซึ่งทั้งหมดเริ่มต้นจากบทสนทนานั้นล่ะครับ

คาราห์ : สำหรับมิวสิกวิดีโอ พอทุกคนได้ยินเพลงนี้ ได้ฟังเนื้อเพลงนี้แล้ว ภาพของมันก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ฉันกับร็อบกำลังถกกันเรื่องไอเดียต่าง ๆ และเราคิดว่าการได้ถ่ายมิวสิกวิดีโอที่มีกลิ่นอายแบบหนังเวสเทิร์นคาวบอยของอเมริกาน่าจะเป็นอะไรที่สนุกดี ดังนั้นฉันก็เลยเขียนทรีตเมนต์ของมิวสิกวิดีโอดู แล้วก็แชร์มันกับผู้กำกับที่เราร่วมงานด้วยบ่อย ๆ แล้วเขาก็ใส่ไอเดียของตัวเองลงไปมันก็เลยกลายเป็นโปรเจกต์ที่สนุก ๆ ขึ้นมา นอกจากนี้เรายังตัดสินใจที่จะลองสวมบทบาทที่ค่อนข้างแตกต่างจากตัวตนปกติของเราในวิดีโอนี้ ซึ่งตัวละครที่เราแสดงค่อนข้างจะเว่อร์ ๆ ไปนิดนึง เพราะฉันได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ที่ฉันเติบโตมากับมัน มันเป็นประสบการณ์ที่สนุกสนานจริง ๆ

ได้ยินว่าพวกคุณเจอกันโดยบังเอิญจากการจองห้องสตูดิโอชนกัน อยากรู้ว่าจากนั้นพวกคุณมารวมตัวกันเป็น VALLEY ได้ยังไง

อเล็กซ์ : ใช่เลยครับ ก่อนนี้ไมค์และคาราห์ทำวงตอนเรียนไฮสคูลด้วยกัน พวกเขามีวงดูโอของตัวเองซึ่งถูกจำกัดในแง่ของการแสดงสดเนื่องจากการจะมีเพียงแค่เสียงร้องและกีตาร์เท่านั้น ส่วนร็อบและผมเจอกันตอนเรียนมัธยมปลายและสนุกกับการทำงานร่วมกัน ตอนแรกเราทำงานในโปรเจกต์ของเราเอง แต่เมื่อจบมัธยมปลายและผู้คนย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัย สิ่งต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป เราก็เลยมองหาสิ่งใหม่ ๆ ที่จะดำดิ่งไปกับมัน

และในที่สุดเราก็จองห้องสตูดิโอซ้อนกัน มันเลยกลายเป็นหนึ่งในสถานการณ์ ‘ประวัติศาสตร์ของวง’ เราประทับใจในผลงานของกันและกัน และความรู้สึกตื่นเต้นที่มีร่วมกันนั้นทำให้เราก้าวไปข้างหน้า เราค้นพบว่าคุณสมบัติของเราผสมผสานกันอย่างลงตัว โดยผสมผสานจุดแข็งของแต่ละฝ่ายเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์ที่ได้คือการผสมผสานที่กลมกลืนกัน ซึ่งเป็นความกลมกลืนที่สมบูรณ์แบบเลยครับ

พวกคุณค้นพบเอกลักษณ์ทางเสียงและเนื้อร้องของวงได้ยังไง

ร็อบ : ว้าวมันเป็นคำถามที่ดีเลยครับ ผมคิดว่ามันเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง อย่างที่ผมได้กล่าวไป ในตอนแรกเราเป็น 2 สิ่งที่แยกออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด และพอได้มาทำงานร่วมกัน ช่วงแรกก็เลยเป็นการทำความรู้จักกับบุคลิกของกันและกัน เรียนรู้วิธีที่แต่ละคนทำงาน มีผลงานชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่มากมายเลยในช่วงนั้น แต่ในที่สุดเมื่อเราเริ่มสร้างเพลงด้วยกัน ความตื่นเต้นก็เพิ่มมากขึ้น และมันก็กลายเป็นช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของเรา มิตรภาพระหว่างเราทั้ง 4 นั้นสดใหม่มาก และมันยังคงน่าตื่นเต้นที่ได้ทำเพลงร่วมกันต่อไปแม้กระทั่งตอนนี้

มิกกี้ : เราผสมผสานความคิดทั้งหมดเข้าด้วยกัน มันเหมือนกับว่าเราทั้ง 4 ได้ลองทำอะไรมากมายและโยนมันเข้ามารวมกันซึ่งสุดท้ายมันก็หลอมออกมาเป็นดนตรีของพวกเรา ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเรียกการหลอมตรงนี้ว่าอะไร

คาราห์ : ‘หม้อชีส’ ไง (หัวเราะ)

มิกกี้ : สุดท้ายเราก็ได้ออกมาเป็น ‘ชีส’ (หัวเราะ)

อเล็กซ์​ : ผมว่ามันเหมือน ‘เครื่องปั่นทอง’ มากกว่าและท้ายที่สุดของการเขย่าและการร่อนทั้งหมด สิ่งที่เราเหลือไว้คือ ‘ทองคำ’ ซึ่งก็คือเสียงดนตรีของเรา

คาราห์ : ใช่ ๆ มันเหมือนกับการที่เราร่อนทรายกับหิน ซึ่งบางครั้งเราก็ได้แต่หินก้อน ๆ อะไรเต็มไปหมด แต่ในที่สุดเราก็จะพบชิ้นส่วนทองคำ มันเหมือนกับว่าเราเขียนเพลงไว้มากมายเลย ซึ่งหลายเพลงในนั้นเราก็ไม่ชอบมันเลย แต่แน่นอนมันจะมีเพลงที่มันเวิร์กอยู่ในนั้น

ร็อบ : เออ พอพูดถึงหินแล้ว ก็นึกถึงเพชรนะ แล้วเพชรมันมาจากไหน ?

มิกกี้ : มาจากชั้นดินไง

คาราห์ : ก็มาจากหินไง

(หลังจากนั้นทุกคนก็เถียงกันแบบเนิร์ด  ๆ ถึงหินกับเพชรและอะไรต่อมิอะไร ว่าอะไรได้มาจากอะไร พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งเรารู้เลยว่าเวลาทั้ง 4 อยู่ด้วยกัน ทำเพลงด้วยกัน พูดคุยกันมันสนุกแค่ไหน)

มิกกี้ : ผมว่าตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ชั้นเรียนธรณีวิทยาแล้วล่ะ ไปต่อกันเถอะ (หัวเราะ)

เหมือนว่าเราจะได้คำตอบสำหรับคำถามข้อนี้ไปแล้ว (หัวเราะ) แต่ขอถามย้ำอีกทีว่าอะไรคือแก่นหรือหัวใจสำคัญของ VALLEY

ร็อบ : อย่างที่คุณคิดเลย ‘หิน’ ! (หัวเราะ) ผมคิดว่าองค์ประกอบหลักของสิ่งที่ทำให้วงเราเป็นวงดนตรีในแบบนี้ ผมจะบอกว่ามันคือเราทั้ง 4 คนอย่างแน่นอน

คาราห์ : ฉันคิดว่าการต่อต้านการเติบโตของเรานี่ล่ะที่เป็นปัจจัยสำคัญ เราตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่สูญเสียความเยาว์วัยไป เพราะฉันเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ช่วยให้เราเกิดการสร้างสรรค์และค้นพบอะไรใหม่ ๆ ร่วมกัน มันเหมือนกับเราได้เดินทางเพื่อค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา เราแสวงหาการสำรวจในฐานะคนคนหนึ่งเสมอ จากนั้นเราก็มารวมกันในสภาพแวดล้อมนี้และคิดว่า ‘เอาล่ะ ตอนนี้เรามาสร้างเพลงเกี่ยวกับเรื่องนี้กันเถอะ’ มันเกี่ยวกับการเปิดรับความอ่อนเยาว์ การสำรวจ และมิตรภาพ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเรา

เราคิดว่าเพลงของพวกคุณสามารถบันทึกสิ่งเหล่านี้เอาไว้ได้

VALLEY : โอ้ ขอบคุณมาก ๆ

ภาพที่แสดงถึงอ่อนเยาว์ การสำรวจ และมิตรภาพ (ถือป้าย)

สำหรับโชว์ครั้งแรกในเมืองไทย คุณคาดหวังอะไรสำหรับการแสดงครั้งนี้ไหม

ร็อบ : มันจะบ้า บ้ามาก ผมหมายถึง เหงื่อออก เสียงดัง และเต็มไปด้วยพลัง เราตัดเพลงช้าออกทั้งหมด ดังนั้นมันจึงเต็มไปด้วยจังหวะสนุก ๆ ใช่ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะสามารถจับฉวยช่วงเวลาต้องมนตร์นี้ไว้ได้ เราพบว่าในโชว์แต่ละโชว์มันจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันไม่เหมือนกันและมักจะมีบางสิ่งที่พิเศษ ที่คุณไม่สามารถบงการให้มันเกิดขึ้นได้หรือบางอย่างที่คุณไม่สามารถวัดได้เกิดขึ้นเสมอ และผมคิดว่าวันนี้จะเป็นประสบการณ์เพียงหนึ่งเดียว เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เราตื่นเต้น เราตั้งตารอการแสดงครั้งนี้มาก ๆ  ขอบคุณมากสำหรับการสนับสนุนที่มีให้เราเสมอมา และขอบคุณอีกครั้ง ขอบคุณมาก ๆ  !

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส