หมายเหตุ: บทความนี้มีเนื้อหาส่วนหนึ่งเกี่ยวกับความรุนแรง และการฆ่าตัวตาย


ถ้าหากพูดถึง จิอันคาร์โล เอสโปซิโต (Giancarlo Esposito) นักแสดงรุ่นใหญ่ชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลี-แอฟริกันอเมริกัน วัย 65 ปี ถ้าไม่นึกถึงมีม ‘เราไม่เหมือนกัน’ บนโซเชียล คอหนังก็มักจะนึกถึงเขาในบทบาทวายร้าย (ที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นวายร้ายระดับหัวหน้าหรือไม่ก็เจ้าพ่อ) อาทิ บทบาท สแตน เอ็ดการ์ จากซีรีส์ ‘The Boys’ (2019-), บทบาท มอฟฟ์ กีเดียน จากซีรีส์ ‘The Mandalorian’ (2019–2023)

และแน่นอนว่าต้องรวมไปถึง กุสตาโว ฟริง หรือ กัส ฟริง เจ้าของร้านไก่ทอด โลส โปโยส เอร์มาโนส (Los Pollos Hermanos) ที่มีเบื้องหลังเป็นมาเฟียยาเสพติดตัวเป้ง ที่ปรากฏตัวในซีรีส์ดราม่าอาชญากรรมชื่อดัง ‘Breaking Bad’ (2008–2013) รวมทั้งรับเชิญในซีรีส์สปินออฟ ‘Better Call Saul’ (2017–2022) ซึ่งเขาเองก็รับบทนี้เอาไว้ได้ทรงพลังมาก เวลาใจดีก็ดีใจหาย แต่ถ้าร้ายก็เรียกว่าโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนา แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า เขาเองเกือบจะไม่มีวันที่จะกลายมาเป็นที่รู้จักในฐานะตัวโกงของฮอลลีวูดแบบนี้แล้วด้วยซ้ำ

เอสโปซิโต นักแสดงผู้เข้าชิงรางวัล Primetime Emmy Awards 4 ครั้ง ที่ตอนนี้กำลังจะมีผลงานมากมาย ทั้งในหนัง ‘Abigail’ และ ‘MaXXXine’ ที่จะเข้าฉายภายในปีนี้ แลรับบทนำในทีวีซีรีส์ดราม่าอาชญากรรมล้างแค้น ‘Parish’ ของสถานีโทรทัศน์ AMC ได้มีโอกาสมานั่งสัมภาษณ์ในรายการ ‘Jim & Sam’ ของสถานีวิทยุซิริอัส เอ็กซ์เอ็ม (SiriusXM)

Giancarlo Esposito in Breaking Bad (2008)

ซึ่งเขาได้เปิดเผยช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งปัญหาการเงินที่ทำให้เขาล้มละลายถึง 2 ครั้ง บ้านถูกธนาคารยึด ปัญหาด้านชีวิตคู่ที่นำไปสู่การหย่าร้าง จนทำให้เขากับอดีตภรรยา จอย แม็กมานิกัล (Joy McManigal) คิดค้นหาทางทำเงินแบบผิด ๆ ก่อนที่เขาจะได้พบกับบทบาทที่เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล

“หนทางแรกที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นทางออกก็คือพ่อของภรรยาผม – ขอพระเจ้าคุ้มครองวิญญาณ ป๊อปส์ แม็กมานิกัล (Pops McManigal) ตอนนั้นเขามีประกันอยู่ ผมเลยถาม (อดีตภรรยา) ของผม ผมเริ่มพูดไปเรื่อยว่า ‘ผมจะได้เงินประกันเท่าไหร่นะ ? ‘ แล้วเธอก็บอกผม ทางออกที่อยู่ในสมองของผมก็คือ ผมพูดออกไปว่า ‘คุณมีประกันชีวิตไหม… ถ้าเกิดมีใครฆ่าตัวตาย ลูก ๆ เราจะได้กินขนมปังไหม’ และภรรยาของผมก็บอกว่า ‘มันเป็นเรื่องยุ่งยากอยู่นะ'”

“เธอเองก็คงไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงถามแบบนั้นกับเธอ แล้วผมก็เริ่มคิดวางแผนว่า ‘ถ้าเกิดว่าผมจัดฉากว่ามีใครมาลอบสังหารผม หรือไม่ก็ทำให้ตายด้วยอุบัติเหตุไปซะ ลูก ๆ ก็น่าจะได้รับเงินประกันนะ’ ผมมีลูกอยู่ 4 คน และผมก็อยากให้พวกเขามีชีวิตรอดต่อไป มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก ๆ ในชีวิต ผมครุ่นคิดถึงการยอมทำลายตัวเองเพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่รอด ผมเคยตกต่ำถึงขนาดนั้นเลยนะ”

หลังจากใคร่ครวญอย่างถ่องแท้ เขาก็ค้นพบว่า การตัดสินใจดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อครอบครัวของเขาอย่างไรบ้าง สุดท้าย เอสโปซิโตก็เลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น และเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในช่วงปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่เขาได้มีโอกาสเข้ามาร่วมแสดงในซีรีส์ ‘Breaking Bad’ ที่กลายมาเป็นซีรีส์ที่โด่งดัง ได้รับคำวิจารณ์และรางวัลมากมาย

“แล้วจากนั้น ผมก็เริ่มคิดได้ว่าผมทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะความเจ็บปวดที่ผมทำมันจะคงอยู่ไปตลอดชีวิต และบาดแผลที่เกิดจากความพยายามหลบหนีของผม จะขยายเป็นความบอบช้ำทางจิตใจไปตลอดชีวิต และแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นั้นก็คือ ‘Breaking Bad’ ผมค่อย ๆ เริ่มจะฟื้นตัวทีละเล็กละน้อย ก่อนที่ ‘Breaking Bad’ จะเข้ามาเป็นแสงสว่างให้กับผม”

บทบาทมาเฟียขายไก่ทอด ยังส่งให้เขาเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบชาย ประเภทซีรีส์ดราม่ายอดเยี่ยม (Outstanding Supporting Actor in a Drama Series) จากเวที Primetime Emmy Awards จากซีรีส์ทั้ง 2 เรื่อง และบทบาทนี้ของเขาก็กลายเป็นภาพจำและมีมของชาวเน็ตในเวลาต่อมา หลังจากเขารับบทเป็น กัส ฟริง ใน ‘Breaking Bad’ ทั้งหมด 26 ตอน และรับเชิญในซีรีส์ ‘Better Call Saul’ ซีซัน 3 และซีซัน 4

แต่เมื่อเขาได้รับการเสนอสัญญาสำหรับทำภาคใหม่ให้ แต่เขากลับปฏิเสธ เพราะเขาต้องการไปทำงานที่หลากหลายโดยไม่ผูกมัดว่าจะต้องรับบทใดบทหนึ่งไปนาน ๆ

“ผมได้ไปเป็นแขกรับเชิญใน (‘Better Call Saul’) และถึงแม้ว่าผมจะได้รับเชิญไปครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็ได้ทำต่ออีกเรื่องหนึ่ง แล้วพวกเขาก็เสนอสัญญาให้ผม ผมบอกไปว่า ‘ไม่ มันทำให้ผมมีอำนาจต่อรอง’ เหตุผลที่ผมปฏิเสธเพราะว่า มันเป็นช่วงสิ้นสุดซีซันที่ 3 แล้ว และพวกเขาต้องการให้ผมเซ็นสัญญา โดยผมมีเวลา 6 เดือน”

“เหตุผลที่ผมปฏิเสธเพราะว่ามันเป็นช่วงสิ้นสุดฤดูกาลที่สามแล้ว และพวกเขาต้องการให้ฉันเซ็นสัญญาโดยฉันมีเวลาหกเดือน พวกเขาก็จะให้เงินเป็นการจองตัวผมเอาไว้จำนวนหนึ่งนั่นแหละ แต่ผมก็ต้องไปหาพวกเขาเพื่อถามว่า ‘แล้วผมไปทำโปรเจ็กต์ของ Disney ? ได้ไหมล่ะ ผมสามารถทำอันนี้ได้ไหม ผมทำอันนั้นได้ไหม ? ‘ และผมก็กลัวว่าพวกเขาจะปฏิเสธโดยที่ไม่รู้ด้วยว่าเหตุผลของพวกเขาคืออะไร”

แม้เขาจะไม่อยากผูกมัดอะไร แต่เขาก็เคยเปิดเผยกับ British GQ ว่า เขาเองอยากกลับมาสานต่อเรื่องราวปูมหลังของ กัส ฟริง วายร้ายที่ถูกระเบิดครึ่งหน้าอีกครั้ง

“เรื่องราวเบื้องหลังของ กัส ฟริง คือ เขาเป็นชายชาติทหารที่ไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ และอาจจะได้เป็นประธานาธิบดี หรืออาจเป็นได้แม้กระทั่งผู้นำเผด็จการ เขาต้องการทำสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถควบคุมได้ และเขาต้องการควบคุมชะตากรรมของตัวเอง เขาเลยเริ่มต้นชีวิตใหม่ในอเมริกา กลายเป็นนักธุรกิจและนักค้ายา”

“ผมคิดว่าตอนอายุยังน้อย เขาอาจเป็น โทนี มอนทานา (เจ้าพ่อค้ายาจอมคลั่งจากหนัง ‘Scarface’, 1983) มากกว่า ก่อนที่เขาจะพยายามก้าวไปสู่จุดที่สามารถมองเข้าไปผ่านสภาวะอารมณ์ของเขา ผมหวังว่ามันอาจจะเป็น ‘The Rise of Gus’ อะไรแบบนี้ก็ได้นะ”

แต่อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว บทบาท กัส ฟริง ใน ‘Breaking Bad’ คือบทบาทที่ช่วยปลุกการมองเห็นคุณค่าในตัวของเขาเองขึ้นมาอีกครั้ง

“มันเป็นก้าวแรกในการเพิ่มขีดความสามารถของผม เพราะว่ามันไม่เกี่ยวกับเงิน ใช่ ผมยากจน ผมล้มละลายนั่นแหละ แต่มันเป็นเรื่องของผมที่จะต้องค้นหาจุดแข็งของตัวผมเอง เพื่อที่ผมจะได้รู้ว่าผมสามารถสร้างโปรเจ็กต์ต่าง ๆ ได้ด้วยตัวผมเอง”