การเดินทางโดยเครื่องบินมักจะมีมาตรการเรื่องความปลอดภัยเข้มงวดกว่าการโดยสารด้วยพาหนะอื่น ๆ จึงทำให้เราได้ยินเรื่องราวเหตุการณ์แปลก ๆ จากบนเที่ยวบินอยู่บ่อยครั้ง อย่างเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2013 ครับ ที่ผ่าน ๆ มาเวลามีเหตุโต้แย้งกันระหว่างลูกเรือกับผู้โดยสาร เรามักจะเห็นผู้โดยสารอื่น ๆ อยู่ฝ่ายเดียวกับลูกเรือ เหตุจากเห็นพ้องเรื่องมาตรการความปลอดภัยเป็นสำคัญ แต่สำหรับเหตุการณ์นี้นับว่าเป็นหนึ่งในน้อยครั้งมาก ๆ ที่รอบนี้บรรดาผู้โดยสารทั้งลำเลือกที่จะอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับลูกเรือแล้วเรียกร้องสิทธิ์ให้กับผู้โดยสารรายหนึ่งที่เป็นผู้พิการทางสายตา

เรื่องที่จะเล่านี้เกิดขึ้นกับชายตาบอดนามว่า อัลเบิร์ต ริซซี (Albert Rizzi) กับเจ้า ด๊อกซี่ (Doxy) หมานำทาง ริซซีนั้นสูญเสียการมองเห็นเพราะสืบเนื่องจากอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เขามองไม่เห็นมา 8 ปีแล้ว และได้เจ้าด๊อกซี่มาเมื่อ 7 ปีแอน ซึ่งเขาตั้งชื่อมันว่า Doxy ย่อมาจาก Doxology ที่ริซซีบอกว่าหมายถึง ‘การเริ่มต้นครั้งใหม่’

อัลเบิร์ต ริซซี และ ด๊อกซี่

ในวันนั้นริซซี เดินทางมาที่สนามบินนานาชาติฟิลาเดลเฟีย เพราะจะต้องเดินทางด้วยกันด้วยสายการบิน US Airways เที่ยวบิน 4384 ไปยังสนามบินแม็กอาเธอร์ ในลองไอส์แลนด์ ริซซีเล่าว่าเขากับเจ้าด๊อกซี่นั้นมาถึงประตูขึ้นเครื่องเป็นคนแรกเลย แต่เขาก็ไม่ทราบว่าทาง US Airways มีระเบียบพิธีการอะไรยังไง เขาถึงได้เป็นคนสุดท้ายที่ได้ขึ้นเครื่อง เที่ยวบินนี้เป็นเครื่องบินเล็ก แล้วริซซีก็ถูกจัดให้นั่งในเก้าอี้ตัวกลางในที่นั่งแถวหลังสุด ด้านหน้าของริซซีเป็นทางเดินบนเครื่อง ซึ่งด๊อกซี่ก็นอนหมอบอยู่บนพื้นด้านหน้าริซซี

พอผู้โดยสารทุกคนได้เข้าประจำทีเรียบร้อยได้ครู่หนึ่ง แอร์โฮสเตสก็เดินมาเตือนริซซีว่าให้นำเจ้าด๊อกซี่ไปนอนอยู่ใต้ที่นั่งของเขาด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ผู้โดยสารที่นั่งอยู่แถวเดียวกับริซซีก็เสนอความช่วยเหลือว่าพวกเขายินดีให้เจ้าด๊อกซี่มานอนใต้ที่นั่งของพวกเขาและเธอได้ เพื่อมันจะได้มีพื้นที่นอนเพียงพอและรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

อัลเบิร์ต ริซซี และ ด๊อกซี่ ในวันเกิดเหตุ

ทุกอย่างก็ดูน่าจะเรียบร้อยดี แต่ปัญหามันก็เกิดขึ้นเมื่อเครื่องบินดีเลย์ จอดนิ่งอยู่บนรันเวย์มาแล้ว 2 ชั่วโมง เป็นธรรมชาติของหมา ที่อยู่ในที่แออัดนาน ๆ แล้วมันจะรู้สึกอึดอัด ทำให้เจ้าด๊อกซี่เริ่มไม่อยู่นิ่ง แล้วเดินไปมาตามทางเดินบนเครื่อง ทำให้แอร์โฮสเตสต้องกล่าวย้ำกับริซซีอีกครั้งให้ควบคุมเจ้าด๊อกซี่ให้อยู่นิ่ง ๆ รอบนี้ริซซีเริ่มจะมีอารมณ์คุกรุ่นซึ่งน่าจะพอ ๆ กับผู้โดยสารอีกหลายคนที่หงุดหงิดกับการที่เครื่องบินดีเลย์กว่ากำหนดไปมาก ทำให้ริซซีเริ่มมีปากเสียงกับแอร์โฮสเตสและใช้ถ้อยคำรุนแรง เรื่องไปถึงกัปตัน ทำให้กัปตันตัดสินใจจะนำเครื่องบินกลับไปเทียบที่ประตูทางเชื่อม และให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาลากตัวริซซีและด๊อกซี่ลงจากเครื่องไป ผู้โดยสารคนอื่น ๆ บนเครื่องพอเห็นว่าสายการบินใช้มาตรการเด็ดขาดแบบนี้จัดการกับคนตาบอดและหมานำทาง ก็รับไม่ได้กัน แล้วเริ่มโวยวายเรียกร้องกับสายการบินว่า
“เอาแอร์โฮสเตสลงจากเครื่องไปแทนได้ไหม แล้วเอาริซซีกับด๊อกซี่กลับมาแทน”


ผู้โดยสารชายรายหนึ่งเผยกับสื่อว่า ผู้โดยสารบนเที่ยวบินนั้นมีทั้งหมด 35 คน ทุกคนเข้าข้างริซซีเหมือนกันหมด กัปตันเล็งเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี เลยใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดอีกครั้งด้วยการประกาศ “ยกเลิกเที่ยวบิน”
หลังเกิดเหตุการณ์นี้ สื่อต่าง ๆ ได้เผยแพร่ข่าวออกไป ก็ยิ่งได้รับความสนใจจากประชาชนชาวอเมริกันที่รุมวิจารณ์สายการบิน US Airways ทางสายการบินจึงให้ ลิซ แลนเดา (Liz Landau) โฆษกสายการบิน US Airways ออกมาแถลงการณ์ต่อสาธารณชนว่า
“US Airways รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น ทางเรากำลังสำรวจตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าควรจะจัดการอย่างไรจึงจะเป็นการเหมาะสมที่สุดต่อไป”

Elizabeth Landau

แลนเดายังเพิ่มเติมภายหลังอีกว่า การที่นักบินและลูกเรือเลือกที่จะนำเครื่องกลับมาที่ประตูเชื่อมสนามบินนั้น เพราะคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เหตุจากทีท่าที่ก้าวร้าวของริซซีที่มีต่อแอร์โฮสเตส เพราะทั้งนักบินและลูกเรือพิจารณาถึงสถานการณ์อย่างรอบคอบแล้วว่า คงไม่เป็นการดีที่จะขึ้นบินในขณะที่ยังมีผู้โดยสารแสดงท่าทเกรี้ยวกราดเช่นนี้ กัปตันจึงแจ้งให้ผู้โดยสารทุกคนลงจากเครื่องบินเมื่อเครื่องเทียบท่าแล้ว ทางสายการบินเลือกทางออกให้กับผู้โดยสารเที่ยวบิน 4384 ด้วยการจัดรถโดยสารจากสนามบินฟิลาเดเฟียมุ่งหน้าไปสนามบินลองไอส์แลนด์ให้แทน

อัลเบิร์ต ริซซี กล่าวถึงความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า
“นี่มันกลายเป็นประสบการณ์ดีเยี่ยมสำหรับผม ที่เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย ที่ผมได้เจอว่าโลกเรานี้ยังมีมนุษยธรรมกันอยู่ ผมได้เห็นผู้คนได้ลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ถูกต้อง”
ริซซีหมายถึงเพื่อนผู้โดยสารร่วมเที่ยวบินที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเขา แล้วริซซียังขิงใส่สายการบินอีกว่า
“พวกเขาเลือกหาเรื่องผิดคนซะแล้ว”
เพราะเขาอ้างว่าเขาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่ปรึกษาของชุมชนผู้พิการทางสายตาแห่งเมืองซัฟโฟล์กเคาน์ตี้ ที่เขาพำนักอยู่ในปัจจุบัน ริซซียังทิ้งท้ายอีกว่าหลังเกิดเหตุเขายังไม่ได้รับการติดต่อจากทาง US Airway เลย ซึ่งเขากำลังจะดำเนินการทางกฎหมายกับสายการบินให้ถึงที่สุด

อ้างอิง