ปี 2022 มีแต่คนพูดถึงเรื่องรถยนต์ไฟฟ้ากันเต็มไปหมด ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศจีน ตั้งแต่ช่วงปี 2009 ซึ่งก็ผ่านมาถึง 13 ปี ทำให้เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าของจีนค่อนข้างที่จะล้ำหน้า ด้วยการสนับสนุนจากทางภาครัฐและเอกชน ทำให้ผู้ใช้มั่นใจมากขึ้นว่าเทคโยโลยีทุกวันนี้ไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้น แต่เป็นสิ่งที่ถูกคิดค้น พัฒนาและผลักดันกันมานานเพื่อให้ใช้ได้ในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง เช่น การเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ รวมถึงมีเป้าหมายทำให้รถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 40% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2030

สิ่งเหล่านี้กำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย จากการที่รัฐบาลเริ่มเข้ามาสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงสนับสนุนระบบนิเวศน์ของรถยนต์ไฟฟ้า เช่นในเรื่องของ Supply ไม่ว่าจะเป็นอะไหล่ แบตเตอรี่ต่าง ๆ รวมถึงลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าหลายค่ายถูกลงกว่าแสนบาท แล้วไหนจะราคาน้ำมันที่นับวันมีแต่แพงขึ้นๆ และความกังวลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม วันนี้แบไต๋จะมาเผย 5 ข้อที่บอกได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าน่าใช้ในปี

สิ่งเหล่านี้กำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย จากการที่รัฐบาลเริ่มเข้ามาสนับสนุนและลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าหลายค่ายถูกลงกว่าแสนบาท แล้วไหนจะราคาน้ำมันที่นับวันมีแต่แพงขึ้น ๆ วันนี้แบไต๋จะมาเผย 5 ข้อที่บอกได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าน่าใช้ในปีนี้

สิ่งที่ผู้ใช้ยังกังวลมากที่สุดคือเรื่องจุดชาร์จ ปัจจุบันถือได้ว่ามีจุดชาร์จมากกว่า 800 จุดทั่วประเทศแล้ว รวมถึง Fast Charge หรือ DC Charging ที่สามารถชาร์จไฟกระแสตรงได้รวดเร็วยิ่งขึ้น วิดีโอนี้ผมขอยกตัวอย่างจากเกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่เพิ่งจะเปิดตัวสถานีชาร์จแห่งแรกหรือ G-Charge Supercharging Station สถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบ fast charge กำลังสูงสุดขนาด 160kW ใจกลางสยามสแควร์เมื่อปีที่ผ่านมา

และตั้งเป้าขยาย GWM Store เพิ่มขึ้นเป็น 80 แห่ง รวมถึงจุดชาร์จให้เป็น 55 แห่งในปีนี้ และขยายเป็น 100 แห่งในปีหน้า ตลอดจน 300 แห่งในปี 2025 โดยสามารถค้นหาจุดชาร์จต่าง ๆ ได้ผ่านแอปพลิเคชัน GWM ทั้งในเมืองและต่างจังหวัด ตอกย้ำการสร้างระบบนิเวศของรถยนต์ไฟฟ้าให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

พูดถึงรถยนต์ไฟฟ้าต้องถามหาเรื่องแบต เพราะแบตเป็นปัจจัยหลักที่ใช้อ้างอิงระยะทางของตัวรถ ยิ่งแบตมีขนาดใหญ่แค่ไหนก็ยิ่งเดินทางได้ไกลยิ่งขึ้น ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดมีความจุแบตเตอรี่ประมาณ 45-80 kWh ทั้งนี้ ORA Good Cat มาพร้อมแบตเตอรี่ 2 ขนาด คือ

  • ขนาด 47.788 kWh ในรุ่น 400 TECH และ 400 PRO วิ่งได้ไกลสูงสุด 400 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC
  • ขนาด 63.139 kWh ในรุ่น 500 ULTRA วิ่งได้ไกลสูงสุด 500 กิโลเมตร
    ตามมาตรฐาน NEDC เช่นกัน
    นับได้ว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว เพียงพอกับการใช้งานทั้งในเมืองและเดินทางออกต่างจังหวัด
    แม้จะมีจุดชาร์จครอบคลุม รวมถึงแบตเตอรี่ก้อนโตแล้ว แต่ความกังวลต่อมาคือเรื่องระยะเวลาในการชาร์จ แม้แบตลูกใหญ่จะวิ่งได้ไกลขึ้นแต่ก็กินเวลาชาร์จนานขึ้นด้วย ส่วนมากเวลาในการชาร์จสำหรับ DC Charging อยู่ที่ประมาณ 25-40 นาที และ AC Charging หรือไฟบ้านอยู่ที่ 8-10 ชั่วโมง ซึ่งเจ้าเหมียวไฟฟ้า ORA Good Cat
  • ชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC (0% – 80%) สำหรับรุ่น 400 TECH และ 400 PRO ใช้เวลาชาร์จ 46 นาที และ รุ่น 500 ULTRA 60 นาที
  • ชาร์จด้วยไฟบ้านแบบ AC (Type II) รุ่น 400 TECH และ 400 PRO ใช้เวลา 8 ชั่วโมงและรุ่น 500 ULTRA 10 ชั่วโมง
    ฟังก์ชันการขับขี่เป็นอีกเรื่องที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มความปลอดภัย ความมั่นใจและความสะดวกสบายแก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ORA Good Cat ค่อนข้างมีมาให้ครบ ทั้งระบบช่วยขับขี่อัตโนมัติระดับ L2+ เช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control) พร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะที่ช่วยปรับลดความเร็วตัวรถและชะลอความเร็วก่อนเข้าโค้งอัตโนมัติ (มีในรุ่น 400 pro และ 500 ultra)

เบาะนวดสำหรับผู้ขับขี่ที่มี Memory seat จดจำที่นั่งได้สูงสุด 3 ตำแหน่งพร้อมระบบ Welcome seat เพิ่มความสะดวกต่อการใช้งานในทุกครั้ง ( มีในรุ่น 500 ultra)

กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา (มีในรุ่น 400 pro และ 500 ultra) ช่วยให้การขับขี่ในเมืองง่ายขึ้น เวลาจอดในซอยหรือถนนแคบ ๆ

ระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะ Telematic System ที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมการทำงานบางฟังก์ชั่นของตัวรถได้ แม้อยู่ไกลจากตัวรถผ่านแอปพลิเคชั่น GWM เช่น การควบคุมระบบปรับอากาศ การล็อคและปลดล็อคประตู การค้นหารถยนต์ และสามารถสั่งการปิดหน้าต่าง เชื่อมคนกับตัวรถเสมือนเป็นแกตเจตชิ้นใหม่ ที่มาพร้อมเทคโนโลยีและทำให้ชีวิตของพวกเราสะดวกสบายยิ่งขึ้น

ถึงแม้ค่าบำรุงรักษาของรถยนต์ไฟฟ้ายังไม่มีอะไรน่าจุกจิกเท่ารถยนต์สันดาป แต่เรื่องการรับประกันแบตเตอรี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผู้ใช้อยากรู้ ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่มีการรับประกันแบตเตอรี่นาน 8-10 ปี หรือระยะทาง 150,000 – 180,000 กิโลเมตร เพื่อให้ครอบคลุมการใช้งานของตัวรถ ทั้งนี้รถยนต์ใหม่ทุกคันของ GWM มาพร้อมการรับประกันตัวรถตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร และรับประกันแบตเตอรี่ที่ครอบคลุมตลอดการใช้งานนานสูงสุดถึง 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน

สิ่งที่น่าดีใจสำหรับผู้ที่สนใจรถยนต์ไฟฟ้าคือรัฐเข้ามาช่วยปรับลดภาษีสรรพสามิต ทำให้ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าปรับลงหลายแบรนด์ เช่นเดียวกับ ORA Good Cat ได้รับประโยชน์นี้และมีราคาลดลงกว่า 160,500 บาท เลยทีเดียว

  • ORA Good Cat รุ่น 400 TECH ปรับราคาเหลือ 828,500 บาท (ราคาเดิม 989,000 บาท)
  • ORA Good Cat รุ่น 400 PRO ปรับราคาเหลือ 898,500 บาท (ราคาเดิม 1,059,000 บาท)
  • ORA Good Cat รุ่น 500 ULTRA ปรับราคาเหลือ 1,038,500 บาท (ราคาเดิม 1,199,000 บาท)

พูดได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะยิ่งตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐมากกว่านี้ รวมถึงโรงงานประกอบแบตเตอรี่ที่หลายค่ายเริ่มเปิดตัวในประเทศไทย ทำให้ราคาอาจถูกลงกว่านี้ในอนาคต ไปจนถึงจุดชาร์จที่ครอบคลุมมากขึ้น ส่วนใครที่สนใจรถยนต์ไฟฟ้า ORA Good Cat ไปทดลองขับขี่ สัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเองได้ที่ GWM Store ทั่วประเทศ ได้เลยครับ