คุณผู้ชมครับ วันนี้ผมอยู่กับ iPad Air 5 ที่จัดเต็ม ใส่ CPU M1 มาให้ เหมือนกับ iPad Pro ตัวล่าสุด เรามารีวิวกันเลยครับ !

ไอแพดเครื่องนี้ไม่ใช่แค่เครื่องรีวิวนะครับ เป็นเครื่องที่ใช้จริง โดยกองบรรณาธิการแบไต๋ มาแล้วเป็นสัปดาห์ และนี่คือบทสรุปจากการใช้ของเราครับ

ฝาหลังยวบไหม ? เมื่อเทียบกับ iPad Pro

อย่างแรกที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้เลยครับกับคำถามที่ว่า สรุปแล้วฝาหลังมันยวบหรือไม่ ? เดี๋ยวเราลองเอามากดเทียบกันตรง ๆ กับ iPad Pro แล้วดูความแตกต่างกันระหว่างทั้งคู่เลยแล้วกันครับ (สรุปว่ายวบแต่ไม่ได้แตกต่างมาก)

ซึ่งถามว่าส่งผลกระทบกับการใช้งานไหม เราว่าไม่นะครับ เพราะแต่ก่อน iPad โดยเฉพาะรุ่นโปร ก็เคยมีปัญหางอได้อยู่แล้ว เช่นถ้าใส่กระเป๋าแน่นๆ ซึ่งผู้ใช้ก็มีการใส่เคสเพื่อระวังอยู่แล้ว

ดีไซน์ของตัวเครื่อง

ต่อมาเรื่องดีไซน์ของเครื่อง สรุปสั้นๆแค่ว่า เหมือนเดิมครับ เหมือน iPad Air 4 เป๊ะเลย ขนาดเท่าเดิมทุกมิติ ทั้งความสูง ความกว้างและความหนา รวมถึงตำแหน่งที่ชาร์จ USB-C ไมโครโฟน แม่เหล็กชาร์จ Apple Pencil 2 หรือแม้กระทั่งแถบ Smart Connector ด้านหลัง คือเหมือนกันเปี๊ยบจนใช้เคส ใช้อุปกรณ์เสริมแทนกันได้เลยครับ ที่กล่องใส่เคสยังเขียนว่าใช้กับ iPad Air 4 เลยครับคิดดู

ที่จะต่างคือน้ำหนักที่รุ่นใหม่มากกว่าประมาณ 2 กรัม แล้วก็เรื่องสีครับ ที่เห็นเป็นสีจริง ๆ สักที อย่างสีที่ถืออยู่นี้คือสีฟ้าก็ดูเป็นสีฟ้า ของเดิมสีสบายบลูนี่ใกล้เคียงสีเทามาก นอกจากนี้ยังมีสีอื่นอย่างสีเทาสเปซเกรย์ ชมพู ม่วง และสตาร์ไลท์ ซึ่งมีแค่เทาสเปซเกรย์ที่เป็นสีเดิมครับ สีอื่นเป็นสีใหม่หมด แล้วตรงฝาหลังนี้จะเขียนว่า iPad Air แล้วนะ ไม่ใช่แค่ iPad เฉย ๆ แล้ว แยกออกแน่นอน !

สเปค CPU M1 ของเครื่อง

ทีนี้ส่วนที่เปลี่ยนไปมากที่สุด คือ CPU M1 นี่แหละครับ ก้าวกระโดดจาก Apple A14 บน ipad Air 4 และก็เพราะเป็น CPU M1 นี้แหละครับ ทำให้ iPad Air 5 มีแรมเท่ากันกับ iPad Pro 2021 ตัวเริ่มต้น ที่ 8GB เลยทีเดียว จากเดิมแค่ 4GB เท่านั้นครับ ส่วนความจุก็มีให้เลือกเหมือนตอน iPad Air 4 เลย คือ 64GB และ 256GB นั่นเอง

ด้วย CPU เท่าตัวโปร ประสิทธิภาพก็เลยเท่าตัวโปรด้วยเลยครับ ผลการทดสอบจาก Geekbench 5 ที่ใช้วัดคะแนน CPU ก็ทำคะแนนไปเท่ากับ iPad Pro เลย ที่ Single Core 1716 คะแนน และ Multi-Core ที่ 7268 คะแนน ซึ่งนั่นเร็วกว่า iPad Air 4 ที่เราเคยทดสอบกว่า 77.6% เลยครับ ! ส่วนบน Geekbench Metal ที่ใช้วัดคะแนน GPU ก็ทำไปได้ 21560 คะแนนเท่า iPad Pro เหมือนกันครับ

ส่วนการทดสอบการ์ดจอด้วย 3DMark Wild Life Unlimited Stress Test ที่ทดสอบกราฟิกแบบไม่ล็อค FPS ทำคะแนนไปสูงสุดที่ 18222 คะแนน และต่ำสุดที่ 12205 คะแนน ซึ่งแม้จะมีอาการ CPU Throttling บ้าง แต่ก็น้อยกว่าใน iPad Pro 2021 นะครับ

การใช้งานแอปเพื่อทำงานต่าง ๆ

แต่แค่ผลคะแนนก็คงจะไม่พอหรอกครับ การใช้งานจริงสำคัญกว่า ต้องบอกเลยว่า สามารถโยนงานไหนไปให้เจ้า iPad Air 5 ทำได้เกือบหมดเลยจริงๆครับ ไม่ว่าจะเป็นงานจดโน้ตบน Goodnotes 5 งานวาดภาพบน Procreate ตัดต่อภาพบน Adobe Photoshop หรือกระทั่งตัดต่อวิดีโอบนแอป VN Video Editor ก็ทำได้หมดเลย ถ้าให้เล่าสั้น ๆ ก็ดีพอ ๆ กับ iPad Pro 2021 เลยล่ะครับ

การเล่นเกม

ถ้าเอาไปเล่นเกมแล้ว บอกเลยว่า ‘เล่นได้ทุกเกม’ ครับ แม้กระทั่งเกมกินสเปคอย่าง Genshin Impact เอง ที่เปิดการตั้งค่าสูงสุด และเปิดโหมด 60 FPS ก็เล่นได้ลื่นมาก ถ้าจะให้ลื่นกว่านี้ก็ต้อง iPad Pro ที่เปิด 120 FPS ได้ (แต่เครื่องก็ร้อนมากด้วย) อีกเกมที่ทางกองบก. ใช้ทดสอบกราฟิกก็คือเกมจาก Apple Arcade ที่เป็น Open World อย่าง Oceanhorn 2 นั่นเองครับ เกมภาพสวยมาก เล่นลื่นมาก เป็นอาหารตาสุด ๆ เลยครับ

แบตเตอรี่

เมื่อพูดถึงเรื่องเกมแล้ว ก็ต้องดูแบตเตอรี่ใช่ไหมครับ ทาง Apple เขาแจ้งว่ามีแบตเตอรี่ขนาด 28.6 Whr.สามารถใช้งานเพื่อดูวิดีโอได้นาน 10 ชั่วโมง สำหรับรุ่น Wi-Fi เท่ากับตอน iPad Air 4 เลย แต่จากการใช้งานจริง ถ้าใช้งานไม่บ่อยมาก ก็จะใช้ได้ยาว 2 วันเลย แต่ถ้าเริ่มใช้งานหน้าจอบ่อย ๆ โดยเฉพาะเล่นเกม ก็จะแบตลดเร็วพอสมควรเลยครับ โดยเล่น Genshin Impact ไป 20 นาที แบตเตอรี่ลดไป 10% แล้วก็เครื่องจะร้อนพอสมควรเลยด้วยครับ

และด้วย CPU ใหม่นี้ ก็พา 5G เข้ามาด้วยครับ โดย iPad Air 5 จะมีรุ่นที่ใส่ซิมแบบธรรมดา และแบบ eSim ด้วยครับ ซึ่งมีจำนวนเสารับสัญญาณ 5G เท่ากับใน iPad Pro ด้วยครับ

ส่วนการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ก็มาพร้อม Wi-Fi 6 เหมือนกับใน iPad Pro เช่นเดียวกัน น่าเสียดายที่ยังไม่มี Wi-Fi 6E มาให้

กล้อง

อีกอย่างที่เพิ่มเข้ามาก็คือ กล้องหน้าที่เปลี่ยนจากเซนเซอร์ 7 ล้านพิกเซลเดิม ไปเป็น 12 ล้านพิกเซล f/2.4 ซึ่งซัพพอร์ตฟีเจอร์ Center Stage หรือการจัดให้คนที่อยู่ในกล้องอยู่ตรงกลาง ทำให้ตอนนี้ iPad ทุกรุ่นที่วางจำหน่ายอยู่ตอนนี้ รองรับการใช้ฟีเจอร์นี้กันหมดแล้วครับ

นี่คือภาพและเสียงจากกล้องหน้าตัวใหม่ของ iPad Air 5 ครับจะเห็นได้ว่ากล้องหน้าตัวใหม่นี้สามารถถ่ายมุมกว้างมากได้ด้วย เพื่อให้รองรับฟีเจอร์ Center Stage แต่ว่าก็จะมีจุดสังเกตที่บริเวณมุมด้านข้างก็จะมีการบิดของภาพไปบ้างด้วยครับ

แม้กล้องหน้าจะเปลี่ยนใหม่ แต่กล้องหลังยังคงเหมือนเดิมกับตอน iPad Air 4 กับเซนเซอร์ขนาด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 ครับ ซึ่งความสามารถก็เท่ากับตอน iPad Air 4 ด้วยครับ คือมีฟีเจอร์ Smart HDR 3 ละซูมได้สูงสุดที่ 5 เท่าครับ ภาพถ่ายที่ได้ก็ตามนี้เลยครับ

ส่วนการถ่ายวิดีโอก็สามารถถ่ายได้สูงสุดที่ 4K 60FPS เช่นเดียวกันครับ แต่จะดีขึ้นที่สามารถถ่าย 4K 60 FPS ได้แบบลื่น ๆ เลยด้วยครับ

จอภาพ

นอกจากกล้องที่ยังเหมือนเดิมแล้ว จอก็เหมือนเดิมด้วยครับ เพราะจอของ iPad Air 5 นั้นมีขนาด 10.9 นิ้ว ความละเอียด 2360 x 1640 พิกเซล ที่ 264 พิกเซลต่อนิ้ว (ppi) รีเฟรชเรท 60 Hz เท่ากับ iPad Air 4 เป๊ะ ๆ เลยครับ หมายถึงสว่างได้สูงสุด 500 nits ที่แม้จะรองรับการแสดงผลแบบ HDR ก็ยังสว่างเท่าเดิม ต่างกับ iPad Pro ที่สว่างสูงสุด 600 nits ครับ

สแกนลายนิ้วมือ

อีกอย่างที่เหมือนเดิมก็เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่เหมือน iPad Air 4 ไม่ใช่สแกนหน้าแบบ Face ID เหมือนใน iPad Pro นะครับ ตัวเซนเซอร์ใช้ตัวเดียวกันเป๊ะเลยครับ ความเร็วก็ตามนี้เลย

เปรียบเทียบระหว่าง iPad Pro 2021 กับ iPad Air 5

ตลอดทั้งคลิปที่ผ่านมา ผมแทบจะเทียบให้ดูทั้งกับ iPad Air 4 และ iPad Pro 2021 เลย นั่นก็เพราะว่า iPad Air 5 เครื่องนี้เหมือนกับเป็น iPad Air 4 ที่เติม CPU M1 กับกล้องหน้าที่มี Center Stage เข้าไปให้เหมือน iPad Pro เข้าไปอีก อ้าวแล้วแบบนี้จะเลือกตัวไหนดีล่ะเนี่ย

ด้วยราคาที่ตอนนี้เข้าใกล้ iPad Pro มาก (เพิ่มอีก 2000 บาท จากรุ่นความจุ 256 GB เอง) ก็จะได้ iPad Pro ที่มีทั้งจอนุ่ม 120Hz สแกนหน้า Face ID กล้องหลังแบบ Ultra Wide 10 ล้านพิกเซล 125 องศา แฟลชกล้องหลัง และพอร์ต USB-C ก็เป็น Thunderbolt 4 ที่ส่งไฟล์เร็วสูงสุด 40 Gbps เลยนะ ! คุ้มสุด ๆ แบบนี้ เพิ่มเงินไปซื้อ iPad Pro ดีกว่าไหมเนี่ย

แต่เดี๋ยวก่อนครับ แม้ว่าการที่เราจ่ายเงินเพิ่มเพียงแค่ 2000 บาทจาก iPad Air 5 รุ่นความจุ 256 GB จะได้ฟีเจอร์มากมายขนาดนั้น แต่ทางแบไต๋อยากแนะนำให้คุณผู้ชมค่อย ๆ คิดก่อนตัดสินใจขึ้นบันไดไปอีกขั้น แล้วถามตัวเองว่า เราจำเป็นต้องใช้ฟีเจอร์ที่ได้มาเพิ่มอีกหรือไม่

ฟีเจอร์ที่มีใน iPad Pro นั้นจะเหมาะกับสายที่จำเป็นต้องใช้จอนุ่ม 120 Hz เช่นนักวาดภาพมืออาชีพ หรือเกมเมอร์ที่ต้องแข่งเกม เพราะทุก ๆ เฟรม มีค่าสำหรับเกมเมอร์ครับ หรือเหมาะกับสายตัดต่อที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลแบบรวดเร็ว ต่อสายปุ๊ป ก๊อปวิดีโอมาตัดต่อปั๊บ ตรงนี้จะเห็นผลแทบจะทันทีเลย แต่ก็ต้องลงทุนกับสาย Thunderbolt 4 และอุปกรณ์ก็ต้องรองรับด้วย ซึ่งต่างจาก USB-C 10 Gbps บน iPad Air 5 ที่ไม่ต้องลงทุนสูง

แต่สำหรับคนที่ต้องการใช้งาน เล่นเกมที่กราฟิกสูงมาก แต่ยอมลดเฟรมเรทหน่อย ล็อคไว้ที่ 60 FPS (ซึ่งบางเกมก็ยังไม่รองรับการปรับ 120Hz ด้วยนะ) ไม่ซีเรียสกับหน้าจอที่ต้องนุ่มมากนัก และเป็นผู้ใช้ในระดับที่ลดหลั่นลงมาหน่อย ยอมรอให้จอช้าลงอีกนิด ก๊อปข้อมูลช้าลงอีกหน่อย iPad Air 5 มีราคาต่อความจุเครื่องที่ดีกว่า iPad Pro มากแน่นอนครับ

ทางด้านลำโพงของตัวเครื่องนั้นจะมีแค่ 2 ตัว บนกับล่าง เมื่อเทียบกับ iPad Pro ที่มี 4 ตัวครับ

สรุปถ้าจอนุ่มสำคัญกับคุณ เลือก iPad Pro แต่ถ้าความจุเครื่องและราคาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคุณ ให้เลือก Air 5 ครับ

ข้อสังเกต

ทีนี้เรามาดูข้อสังเกตที่กองบรรณาธิการแบไต๋ของเราเอามาฝากคุณผู้ชมเสมอครับ

เรื่องแรกคือเรื่องของฝาหลังที่ยวบครับ แต่ก็อย่างที่ว่าครับว่าฝาหลังนั้นไม่ได้ยวบมากขนาดนั้น ต้องกดเครื่องแรงหน่อยถึงจะดูออก แถมเราก็สามารถใส่เคสเพื่อป้องกันได้

ความจุของเครื่องขนาด 64 GB ที่แพนรู้สึกว่ามันไม่พอใช้แน่นอน ใส่ซอฟต์แวร์ก็ 10 GB กว่าเข้าไปแล้ว เพราะงั้นถ้าใครอยากใช้ยาว ๆ แนะนำให้ซื้อ 256 GB จะดีกว่าครับ

รีวิวที่ดีต้องมีราคา

และแน่นอนครับว่ารีวิวที่ดีต้องมีราคา โดย iPad Air 5 รุ่นความจุ 64 GB นี้มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 20,900 บาทครับ ส่วนความจุด 256 GB มีราคาเปิดตัวที่ 25,900 บาทครับ ทั้งสองรุ่นนี้รองรับแค่ Wi-Fi นะครับ ถ้าอยากใช้ 5G ด้วยต้องจ่ายเพิ่มอีก 5,000 บาทครับ

โดยรวมแล้วคิดว่า สำหรับใครที่มองหาแท็บเล็ตที่ ‘เก่งรอบด้าน’ ในราคาที่ไม่ทำร้ายกระเป๋าตังเราจนเกินไป iPad Air 5 ก็เป็นทางเลือกที่ดีนะครับ ตอนนี้ขอคืนเครื่องให้เจ้าของก่อนล่ะ