นี่คือ DELL XPS 13 Plus รหัส 9320 โน้ตบุ๊กสายทำงานตัวท็อปรุ่นใหม่ล่าสุด ที่นอกจากจะคงความเป็น Xtreme Performance System ตามตัวย่อ XPS แล้ว ปีนี้เขาเปลี่ยนดีไซน์ใหม่หมด เพื่อที่จะอัปเกรด CPU ไปใช้ Intel Gen 12 ที่มีถึง 12 Core แบบนี้ต้องแบไต๋ ให้รู้ !

ดีไซน์

ด้านดีไซน์ของ DELL XPS 13 Plus ปีนี้ ต้องบอกว่าดูคล้ายกับ DELL XPS 13 ที่ผมเคยรีวิวไปเมื่อปีที่แล้วเลย ทั้งฝาหลัง ขนาด และวัสดุที่เป็นอะลูมิเนียมชิ้นเดียวครับ แต่จะมีจุดต่างนิดหน่อยที่โลโก้ เขาเปลี่ยนจากสีเงินเป็นสีเทา รวมถึงใช้สีใหม่ Graphite ดำหม่น ๆ ที่ให้ความเรียบหรู ดูมินิมอล เวลาถือใช้แล้วดูดีเลยนะ ผมว่าถือใช้แล้วช่วยเสริมภาพลักษณ์ได้ เหมาะกับฝ่ายขายหรือผู้บริหารครับ หรือสายอาร์ตจะเอาไว้ใช้ออกแบบกราฟิก หรือวาดรูป ก็เท่ไปอีกแบบ !

แม้ภายนอกจะดูคล้ายกัน แต่พอเปิดมาดูภายใน เอ๊า! รีดีไซน์ใหม่ยกแผงให้ดูหรูขึ้นมาก ๆ ด้วยการใช้กระจกที่แผงวางมือ และ เปลี่ยนปุ่มตั้งแต่ ESC ไปจนถึง F1 – F12 เป็นระบบสัมผัส Capacitive Touch พร้อมมีไฟให้เรากดแทน นอกจากกด F1-12 แล้วยังกด ฟังก์ชันการตั้งค่าด่วน พวกปรับแสง เสียงลำโพง ได้ด้วยครับ แค่กดปุ่ม Function ด้านล่างซ้ายค้างไว้ หรือจะกดค้างแล้วกด Esc เพื่อล็อกให้เป็นปุ่ม Function ล้วน ๆ ก็ได้เหมือนกันครับ

ส่วนคีย์บอร์ดด้านล่าง ก็ดีไซน์ให้ปุ่มติดกันหมดเลย แม้จะดูแปลก ๆ พิมพ์ยากในตอนแรกซึ่งเป็นปกติอยู่แล้วครับ แต่พอชินเราจะรู้เลยว่า เราได้ปุ่มที่ใหญ่ขึ้นกว่าปกติ หากเทียบกับขนาดตัวครับ จุดนี้ก็ทำให้พิมพ์ง่ายขึ้น ไม่ค่อยมีคำผิด คิดว่าใครพิมพ์งานบ่อย ๆ อย่างทีมคอนเทนต์ หรือนักเขียนนิยาย น่าจะชอบในจุดนี้เลยครับ

นอกจากนี้คีย์บอร์ดยังไฟปรับได้ 3 ระดับส่วนปุ่มเปิดและเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือก็จะอยู่ที่ปุ่ม Power ด้านบนขวามือของคีย์บอร์ดนี้เลยครับ ปลดล็อกเร็วนะครับเนี่ย

คงจะสงสัยกันใช่ไหมครับว่า Trackpad หายไปไหน ที่จริงแล้ว Trackpad คือบริเวณนี้เลยครับ อยู่ใต้แผ่นกระจกแบบชิ้นเดียวที่ทาง Dell เรียกว่า ‘Seamless glass touchpad’ โดยปุ่มกดนี้ก็เป็นแบบ Haptic กล่าวคือเป็นแบบสั่นที่จะให้ฟีลลิ่งเวลากดที่เหมือนตอนกดจริง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีปุ่มกดอะไรข้างในเลยครับ เวลาวางมือแล้วกดก็ไม่เกิดอาการลั่นของ Trackpad ด้วยครับ

หน้าจอ

หน้าจอของ DELL XPS 13 Plus 9320 มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 13.4 นิ้วครับ ความละเอียดสูงถึง 3.5K แบบ 60Hz เรียกว่าจอคมกริบ แถมเป็นจอ OLED ที่แสดงสีสันสมจริงได้ถึง 90% DCI-P3 เหมาะกับหลายสายงานเลยครับ พวกงานที่ต้องใช้จอที่สีตรง อย่างนักออกแบบ ช่างภาพ หรือตัดต่อก็ไว้ใจได้ครับ แถมมีความสว่างถึง 500 nits ซึ่งพอสู้แสง การใช้งานกลางในออฟฟิศก็สู้แสงไฟได้ เพราะมีความสว่างถึง 500 nits เลยนะ

ตอนดูหนัง ดูยูทูบก็สามารถเปิด HDR เพื่อแสดงผลสีสดใสเพิ่มได้ แล้วก็เปิด Dolby Vision ใน Netflix ได้ด้วยน้า เสพคอนเทนต์ได้สบาย ๆ เลย

กล้องหน้าและไมค์โครโฟนของรุ่นนี้จะอยู่ที่ด้านบนของหน้าจอนะครับ มีเซนเซอร์ Infared ที่เอาไว้ใช้สแกนหน้าเข้าเครื่องผ่าน Windows Hello ด้วย แม้จะขอบบางขนาดนี้ แต่ก็ใส่กล้องหน้าถึง 720P มาให้ด้วย ส่วนไมค์โครโฟนจะเป็นไมค์แบบคู่ อยู่บริเวณฝาพับเลยครับ เสียงที่ได้ก็ตามที่ได้ยินเลยครับ

พอร์ตการเชื่อมต่อ

มาดูรอบเครื่องกันหน่อย ! ทั้งซ้ายและขวา จะมีพอร์ตเป็น Thunderbolt 4 ที่มีหน้าตาแบบ USB-C ข้างละช่องแล้วก็ หมดเท่านั้นครับ ! เอ๊ะ หมดแล้วหรอ แล้วช่องเสียบหูฟัง 3.5 mm. ไม่ให้มาแล้วหรอ !? ไม่ต้องตกใจไปครับเพราะในกล่องเขามี Adapter แปลงจาก Thunderbolt เป็นช่องเสียบ 3.5 mm. ให้อยู่แล้วครับ แถมยังมีหัวแปลงเป็น USB-A ให้มาในกล่องด้วยนะ หรือจะต่อ Dongle เพื่อฉายภาพออกจอก็ได้เช่นเดีัยวกัน แต่ความที่มีพอร์ตแค่นี้ออกจะน้อยไปซักหน่อยน้า

พอร์ต Thunderbolt ทั้ง 2 ช่องนี้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้โน้ตบุ๊กเครื่องนี้ได้เลยครับ ด้วยหัวชาร์จแบบ 60W ที่แถมมากับเครื่อง เส้นนี้เลยครับ ซึ่งสามารถใช้หัวชาร์จ 60W อื่น ๆ ชาร์จได้เหมือนกันนะครับ

ขนาดตัวเครื่อง

น้ำหนักของ DELL XPS 13 Plus รุ่นที่มีจอ OLED เครื่องนี้จะอยู่ที่ประมาณ 1.26 กิโลกรัมครับ แต่เรามาลองชั่งจริงกันเลยดีกว่า พิกัดที่ชั่งได้เช้านี้ อยู่ที่ 1.256 กิโลกรัมครับ แต่ในสถานการณ์จริง เราต้องมีสายชาร์จเมื่อกี้นี้ไปด้วย ก็จะอยู่ที่ 1.5 กิโลกรัมครับ

ส่วนเรื่องของความหนา ถ้าวัดจากจุดที่ดูหนาที่สุดตอนปิดเครื่องอยู่ จะหนาที่ 1.6 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าบางมาก ๆ เลยครับ การพกพาจึงทำได้สะดวก ยุคนี้ผมว่าเหมาะเลยนะ เพราะเดี๋ยวนี้เขาทำงานแบบ Hybrid Work ไม่ค่อยอยู่กับที่นาน ๆ

สเปก

ด้วยดีไซน์ใหม่ที่เพิ่มความบางถึงขีดสุด ทั้งปุ่มที่หายไป และพอร์ตที่ลดเหลือเพียงแค่นี้ ก็เพราะด้านในเขาเปลี่ยนใหม่หมดเลยครับ ปีที่แล้วที่เราได้รีวิว DELL XPS 13 ไป เครื่องนั้นใช้ CPU รุ่น G เรียกง่าย ๆ ก็รุ่นประหยัดพลังงานนั่นแหละครับ แต่ในปีนี้ DELL เขาได้ปรับสเปกใหม่ ขยับไปใช้ Intel Core i7-1260P ที่มี 4 P-Core และ 8 E-Core รวมเป็น 12 Core ! ถ้าคุณผู้ชมจำกันได้ CPU รุ่นลงท้ายด้วย P นี้เป็นเหมือน CPU รุ่นกลางค่อนสูง ที่มาพร้อมทั้งประสิทธิภาพ และความเบาบางเลย

แม้ CPU นี้มีการใช้ไฟสูงสุดถึง 28W เลยต้องมีระบบระบายความร้อน CPU มากขึ้น และส่งผลให้ต้องมีการปรับดีไซน์รอบนอกใหม่ เพื่อใส่พัดลมระบายอากาศที่ดีขึ้น

ส่วนสเปกอื่น ๆ ก็มีการ์ดจอออนบอร์ดเป็น Intel iris Xe ส่วนแรมก็ให้มาถึง 16GB LPDDR5 เร็วกว่าเดิมด้วย และหน่วยความจำก็เป็น SSD แบบ NVMe ขนาด 512 GB เยอะพอที่จะเก็บงานได้ยาว ๆ แน่นอน ซึ่งด้วยสเปก การรองรับ Thunderbolt 4, WiFi 6E, ปิดเปิดเครื่องได้อย่างเร็ว และอื่น ๆ ในเครื่องนี้ ทำให้ในปีนี้ DELL XPS 13 Plus ก็ยังผ่านมาตรฐาน Intel Evo Platform ด้วยนั่นเอง

ซึ่งผลคะแนนของ CPU จาก Geekbench 5 ก็ได้คะแนน Single Core ที่ 1496 คะแนน และ Multi Core มากถึง 9117 คะแนน ซึ่งคะแนนนี้มากกว่า DELL XPS 13 ในปีที่แล้วมากเกือบ 2 เท่าเลยครับ ! ส่วนการทดสอบกราฟิกผ่าน 3D Mark ชุด Time Spy ก็ทำคะแนนไปได้ 1,866 คะแนนครับ เอาไปทำงานภาพ ตัดต่อก็ยังไหวนะ !

ส่วนความเร็วของ SSD ที่ทดสอบด้วย CrystalDiskMark 5 ได้การอ่านอยู่ที่ 6,794 MB/s และการเขียน 4,507 MB/s เลยครับ ถือว่าเร็วมาก ทำให้การเปิดไฟล์ขนาดใหญ่ ๆ ทำได้รวดเร็วมาก และยังช่วยให้เปิดเครื่องเร็วมากๆ อีกด้วย

ส่วนในเรื่องแบตเตอรี่ ก็ต้องบอกว่าค่อนข้างอึดเลย ด้วยแบตขนาด 55 WHr จากการถือใช้งานจริงก็อยู่ได้ราว ๆ 6-7 ชั่วโมงเลย ซึ่งเกือบ ๆ เท่ากับชั่วโมงทำงานในแต่ละวัน ทำให้อาจจะไม่ต้องพกอะแดปเตอร์ก็ได้ครับ

สำหรับซอฟต์แวร์ที่มีมาให้ในเครื่อง ก็เป็น Windows 11 Home แท้ติดเครื่องมาเลย พร้อมกับติดตั้ง Microsoft Office Home and Student 2021 ที่มี Word / Excel / PowerPoint มาให้ด้วย อันนี้หลายคนได้ใช้แน่ โดยเฉพาะคนที่ทำงานออฟฟิศครับ

นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมตรวจสอบการทำงาน DELL Performance ที่ใช้ปรับการทำงานของเครื่อง ให้เครื่องทำงานตามความต้องการเราได้ด้วยคลิกเดียวอีกด้วย !

ข้อสังเกต

รีวิวแบไต๋ ให้ข้อสังเกตกับคุณผู้ชมเสมอ ! โน้ตบุ๊ก DELL XPS 13 Plus เครื่องนี้ กองบรรณาธิการแบไต๋ของเราได้เอาไปใช้งานจริง เอาไปแถลงข่าว รวมถึงเตรียมข้อมูลของวิดีโอนี้ด้วย ก็มีข้อสังเกตมาฝากคุณผู้ชมกันหน่อย

อย่างแรกก็คือ Trackpad ที่แม้จะเป็นแบบ Haptics และกดได้ฟีลลิ่งเหมือนกดปุ่มจริง ๆ แต่ด้วยความที่ตำแหน่งของมันไม่มีเส้นบอกตำแหน่งให้เห็นใด ๆ เลย อาจจะทำให้เล็งมือไปกดได้ยากครับ ตรงนี้ก็ต้องใช้ความเคยชินซักหน่อยครับ นอกจากนั้น การกดค้างเหมือนจะมีปัญหากดค้างแล้วปล่อยออกไม่หลุดเอาได้ด้วยครับ ต้องมีการกดเบิ้ลก่อนซักรอบถึงจะหาย อีกเรื่องก็คือพอร์ตการเชื่อมต่อที่มีน้อยมาก ๆ ตัดออกกระทั่งช่องเสียบหูฟัง ยังดีที่มี Dongle มาให้ในกล่องนะครับ แต่ พอร์ตอื่น ๆ ก็ต้องหา Dongle มาเสียบเอง ถ้ามี Dongle ที่ต่อ HDMI ได้จะดีกว่านี้มากเลยครับ

รีวิวที่ดีต้องมีราคา

DELL XPS 13 Plus รุ่นที่ใช้ CPU intel Core i7-1260P และจอขนาด 3.5K แบบ OLED นี้มีราคาอยู่ที่ 73,990 บาท ! ราคานี้คุณจะได้ประกันแบบ DELL Premium Support ที่ขึ้นชื่อด้านประกันอย่างดี มีบริการ On-Site Severce ถึงบ้านด้วย ! ยาวนานถึง 3 ปีเลย ด้วยสเปกที่แรงจัดเต็มขนาดนี้ กับขนาดเครื่องที่บางเฉียบสุด ๆ จึงเหมาะกับหลาย ๆ สายงานเลย จะเป็นครีเอเตอร์ นักออกแบบ ช่างภาพ หรืออื่น ๆ XPS 13 Plus ก็เหมาะสม ลงตัวกับทุกโหมดในชีวิตประจำวัน ตามไปจัดกันได้เลย !