RWA หรือ Real-World Asset คือสินทรัพย์ในโลกที่เป็นรูปธรรม เราสามารถมองเห็นและจับต้องได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ (ที่ดิน คอนโดฯ) สินทรัพย์ทางปัญญา (ลิขสิทธิ์เพลง) ของสะสมและผลงานศิลปะ (ภาพวาด ประติมากรรม ของหายาก ไวน์) สินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำ น้ำมัน)  

ปัจจุบันมีแนวคิดการในนำสินทรัพย์จากโลกจริงเหล่านี้มาไว้ในบล็อกเชน หรือที่เรียกว่า ‘Tokenization’ แล้วการทำแบบนี้คืออะไร และเพื่อใคร ? เอาง่าย ๆ มันคือการที่เรานำสินทรัพย์ตรงนี้มาแปลงให้อยู่ในรูปของ โทเคนดิจิทัล (Digital Token) บนเทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นการสร้าง ‘หลักฐานแสดงสิทธิความเป็นเจ้าของ’ ในสินทรัพย์นั้น ๆ ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลนั่นเอง

ทำไมต้องเปลี่ยนสินทรัพย์ในโลกจริงให้เป็นดิจิทัล ?

ลองจินตนาการตามว่า สินทรัพย์เหล่านี้ในชีวิตจริงหากนำมาขายหรือแลกเปลี่ยน ก็จะเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ได้ทันทีในโลกจริง (Physical world) แต่ถ้าเรานำสินทรัพย์เหล่านี้ไปไว้ในโลกดิจิทัล สินทรัพย์ยังคงอยู่กับคุณตามปกติในโลกจริง แต่คุณสามารถแบ่งความเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นออกเป็นส่วน ๆ และขายส่วนแบ่งความเป็นเจ้าของให้คนอื่นได้บนโลกดิจิทัล 

พูดอีกอย่างก็คือ แม้สินทรัพย์จะยังอยู่กับคุณ แต่ก็มีคนอื่น ๆ มาร่วมเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นในรูปแบบดิจิทัลบนบล็อกเชนด้วย ทำให้มูลค่าสินทรัพย์บางอย่างที่มูลค่าสูงเกินเอื้อมและขายยากสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น เกิดสภาพคล่องมากขึ้น 

สินทรัพย์อะไรที่สามารถนำมาแปลงเป็น RWA Token ได้บ้าง ?

ในเชิงทฤษฎี สินทรัพย์ในชีวิตจริงหลายอย่างสามารถนำมาแปลงเป็นโทเคนในโลกดิจิทัลได้ ที่เห็นได้มากที่สุดในตลาด ก็อย่างเช่น

  • อสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดฯ ร้านอาหาร ที่ดิน 
  • ผลงานศิลปะ ของสะสม เช่น ภาพวาดหายาก (Fine Art) รูปปั้น ของหายาก
  • สินทรัพย์ทางปัญญา เช่น ลิขสิทธิ์เพลง เครื่องหมายการค้า
  • สินค้ามูลค่าสูง เข่น นาฬิกา เครื่องประดับ รถหายาก
  • ไวน์ และเหล้า สินค้าประเภทนี้เป็นสินค้าที่บ่มกันมาหลายปีทำให้มีความ ‘แรร์’ และคนส่วนใหญ่ครอบครองได้ยาก จึงสามารถนำมาเป็นโทเคนได้ด้วย 
  • สินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้นนอกตลาด, ตราสารหนี้, หน่วยลงทุน
  • สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ, น้ำมัน, สินค้าเกษตร

ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นมากกว่านี้ แต่จุดสังเกตที่เห็นได้ชัดที่สุด คือสินทรัพย์เหล่านี้จะเป็นสินทรัพย์ที่มีความแรร์ หายาก หรือราคาสูง หรือเป็นสินค้าที่จะมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ซึ่งสามารถนำมาเก็งกำไรได้

ประโยชน์และความเสี่ยงของ RWA ต่อเจ้าของกรรมสิทธ์ และผู้ถือโทเคน

แล้วประโยชน์ของเจ้าของกรรมสิทธ์สินทรัพย์และผู้ที่ถือโทเคนคืออะไร ? เราจะขอยกตัวอย่างประกอบให้เห็นภาพชัดขึ้น 

สมมติคุณเป็นเจ้าของรีสอร์ตแล้วนำรีสอร์ตไปแปลงเป็นโทเคน ในกรณีที่คุณนำรีสอร์ตไปแปลงเป็น RWA token และขายโทเคนนั้นให้กับนักลงทุนหลาย ๆ คน กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายของรีสอร์ตนั้นจะไม่ได้ถูกแบ่งไปตามจำนวนโทเคนทันที โดยส่วนใหญ่แล้ว กรรมสิทธิ์ทางกฎหมายของรีสอร์ตจะยังคงเป็นของนิติบุคคลเดิม (เช่น บริษัท) ที่เป็นเจ้าของรีสอร์ตนั้นแต่แรกเริ่ม

แล้วนักลงทุนที่ถือโทเคนได้อะไร ?

โทเคนที่นักลงทุนซื้อไปจะไม่ได้สิทธิความเป็นเจ้าของในตัวรีสอร์ตโดยตรง แต่เป็นหลักฐานดิจิทัลที่แสดงถึง ‘สิทธิ’ หรือ ‘ผลประโยชน์’ ที่เกี่ยวข้องกับรีสอร์ตนั้น ๆ ซึ่งสิทธิเหล่านี้จะถูกกำหนดไว้ในสัญญาทางกฎหมายและ Smart Contract ที่อยู่บนบล็อกเชน

โดยทั่วไปแล้ว โมเดลที่ใช้กันจะมีการจัดตั้ง ‘นิติบุคคลเฉพาะกิจ’ (Special Purpose Vehicle – SPV) ขึ้นมาทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกจริงกับโลกดิจิทัล ดังนี้

  1. นิติบุคคลเดิม (บริษัทรีสอร์ตของคุณ) จะโอนกรรมสิทธิ์ของรีสอร์ตให้กับ SPV (ซึ่งก็คือบริษัทใหม่ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ)
  2. SPV นี้จะออก โทเคน (Token) เพื่อระดมทุนจากนักลงทุน โดยแต่ละโทเคนจะเป็นตัวแทนของ ‘หุ้น’ หรือ ‘ส่วนแบ่ง’ ใน SPV นั้น
  3. เมื่อนักลงทุนซื้อโทเคน พวกเขาจะกลายเป็นผู้ถือโทเคนของ SPV นั้น ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีสิทธิในผลประโยชน์ของ SPV เช่น ส่วนแบ่งจากรายได้ค่าห้องพัก กำไรจากการขาย หรือสิทธิในการเข้าพักตามที่กำหนดไว้ในสัญญา

สรุปคือ กรรมสิทธิ์ทางกฎหมาย ยังคงอยู่กับ นิติบุคคล (SPV) ซึ่งเป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์รีสอร์ตอย่างเป็นทางการ ส่วนสิทธิของผู้ถือโทเคน คือสิทธิในผลประโยชน์ ที่เกิดจากรีสอร์ตนั้น ๆ ซึ่งถูกแปลงให้อยู่ในรูปของโทเคนบนบล็อกเชน ทำให้สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ง่ายขึ้น

ข้อดีของการนำสินทรัพย์ในโลกจริงไปแปลงเป็นโทเคน (Tokenizing)

  • เข้าถึงง่ายขึ้น : ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์ที่ปกติเข้าถึงยากได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์หรืองานศิลปะ
  • สภาพคล่องสูงขึ้น : การแบ่งสินทรัพย์เป็นโทเคนช่วยให้ซื้อขายได้ง่ายและรวดเร็วกว่าสินทรัพย์แบบเดิมมาก
  • โปร่งใสและปลอดภัย : ข้อมูลการเป็นเจ้าของและธุรกรรมทั้งหมดจะถูกบันทึกบนบล็อกเชน ทำให้ทุกคนตรวจสอบได้และปลอดภัย
  • ลดค่าใช้จ่าย : ช่วยลดความจำเป็นในการพึ่งพาคนกลาง เช่น นายหน้า ทำให้ต้นทุนการทำธุรกรรมถูกลง
  • ทำธุรกรรมรวดเร็ว : การซื้อขายสินทรัพย์ทำได้เกือบจะทันทีบนบล็อกเชน ต่างจากการทำธุรกรรมแบบเดิมที่ใช้เวลานาน
  • กระจายความเสี่ยง : เพิ่มโอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุน

ความเสี่ยง RWA Token มีอะไรบ้าง ?

ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ซึ่งความเสี่ยงของการถือ RWA Token หลัก ๆ จะเป็นดังต่อไปนี้ 

  • ปัญหากฎหมายที่อาจจะยังไม่รองรับ หรือกฎหมายรองรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้การคุ้มครองสิทธิของผู้ถือโทเคนอาจไม่ครอบคลุม นำไปสู่ปัญหาในการโอนโทเคนได้ 
  • ความเสี่ยงด้านราคาและสภาพคล่อง มูลค่าโทเคนขึ้นอยู่กับราคาของสินทรัพย์จริง ซึ่งอาจผันผวนได้มากและบางโทเคนก็อาจไม่มีตลาดรองรับการซื้อขาย
  • ความเสี่ยงจากสินทรัพย์จริง หากสินทรัพย์ต้นทาง เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือไวน์ ได้รับการประเมินมูลค่าผิดพลาด หรือมีการจัดการที่ไม่ดี ก็จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าโทเคนด้วยเช่นกัน
  • ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี โทเคนอาศัยบล็อกเชน จึงมีความเสี่ยงจากการถูกแฮ็กหรือข้อผิดพลาดของ Smart Contract ได้

ดังนั้น การลงทุนใน RWA Token จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและทำเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้อย่างถี่ถ้วนก่อนลงทุนเสมอ 

อย่างไรก็ตาม ในปัจุบันประเทศไทยได้มีการรองรับสินทรัพย์ดิจิทัลแล้ว โดยเป็นกฎหมายดิจิทัลตั้งแต่ปี 2018 โดยปี 2025 มีข้อมูลว่าเรามี ICO Portal (ระบบที่ช่วยในการระดมทุนด้วยโทเคนดิจิทัล) ที่ได้รับอนุญาตแล้ว 9 ราย และมีการออกโทเคนดิจิทัลแล้ว 3 ราย

ข้อแตกต่างของการถือ RWA Token และการถือหุ้น

มาถึงตรงนี้อาจมีคนสงสัยว่าการถือโทเคน RWA ต่างจากการถือหุ้นยังไง ? 

การถือโทเคน RWA มีหลักการที่คล้ายคลึงกับการถือหุ้นในบริษัท นั่นคือทั้งสองอย่างเปิดโอกาสให้เราสามารถเป็นเจ้าของส่วนเล็ก ๆ ในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงได้ โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาล และยังได้รับผลตอบแทนจากสินทรัพย์นั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินปันผลหรือส่วนแบ่งจากรายได้

อย่างไรก็ตาม จุดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนคือ ‘สินทรัพย์ต้นทางที่เรากำลังถือครองอยู่’ โดยการถือหุ้น คือการเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัททั้งบริษัท ซึ่งหมายถึงการเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของธุรกิจและทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทนั้น เช่น เมื่อเราซื้อหุ้นของบริษัท A ที่เป็นเจ้าของรีสอร์ต 5 แห่ง เราจะมีสิทธิในผลกำไรของบริษัท A ทั้งหมด

ในทางกลับกัน การถือโทเคน RWA คือการเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของสินทรัพย์เฉพาะเจาะจงเพียงชิ้นเดียว เช่น การซื้อโทเคนของ ‘รีสอร์ตแห่งที่ 3’ ของบริษัท A จะทำให้เราได้รับสิทธิในผลประโยชน์ที่มาจากรีสอร์ตแห่งนั้นเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง การลงทุนในโทเคน RWA จึงมีความยืดหยุ่นและเฉพาะเจาะจงมากกว่าการลงทุนในหุ้นนั่นเอง