ในยุคดิจิทัลที่อีโมจิ (Emoji) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารประจำวัน ช่องว่างระหว่างวัยไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในคำพูดหรือศัพท์สแลงเท่านั้น แต่ยังซ่อนอยู่ใน “อีโมจิ” ที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน ถูกตีความหมายใหม่ไปตามเจเนอเรชัน วันนี้ BT จะพาไปถอดรหัส ทำความรู้จักความหมายของ “อีโมจิ” ของเหล่า Gen Z กัน
ขอย้อนกลับไป “อีโมจิ” ที่เราพิมพ์คุยกันอยู่ทุกวันนี้ มีมานานตั้งแต่ปี 1999 ถูกคิดค้นโดยชาวญี่ปุ่น ที่มีชื่อว่า คุณชิเกตากะ คูริตะ (Shigetaka Kurita) หนึ่งในทีมผู้พัฒนาบริการ i-mode ของเครือข่าย DOCOMO ผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหลักของญี่ปุ่นในยุคแรก ๆ จากไอเดียเล็ก ๆ ที่เริ่มมาจากการนั่งดูรายการพยากรณ์อากาศในทีวี สู่การใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อสารกันทุกวันนี้
ความหมายอีโมจิแบบใหม่แบบสับ (สน) ฉบับ Gen Z
เมื่อพูดถึงการสื่อสารในทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่ภาษาที่ถูกปรับเปลี่ยนไปตามบริบท หรือเพื่ออรรถรสเพียงอย่างเดียว แต่อีโมจิถูกสร้างสรรค์หรือเปลี่ยนเป็นความหมายใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกับ Gen Z ที่นิยมใช้อีโมจิในการสนทนาแบบอ้อม ๆ แทนการพิมพ์ไปแบบตรง ๆ
ตัวอย่างเช่น
😭 Crying เรามักจะใช้อีโมจินี้ในการสื่อถึงความเศร้า เสียใจ หรือหงุดหงิด แต่ความหมายของ Gen Z อีโมจินี้ กลับหมายถึง น่ารัก หรือตลกจนน้ำตาไหลเลยแหละ
😅 Sweating อีกหนึ่งอีโมจิที่เรามักใช้กันบ่อย ซึ่งคนทั่วไปอาจจะใช้ในเชิงความหมายว่า กังวล เขินอาย รอดแบบฉิวเฉียด แต่กลับมีความหมายว่า ไม่ไหวแต่ต้องฝืนยิ้ม (โอเค เควนชานา เตงเน้งเนงเหน่งเนง) เหมาะกับเอาไว้ส่งให้หัวหน้าในช่วงที่ต้องส่งงานให้ทัน Deadline
😂 ROFL คุณอาจจะคิดว่านี่เป็นอีโมจิที่ขำจนน้ำตาไหล หรือสนุกมาก แต่อีกหนึ่งความหมาย คือเป็นการประชด หัวเราะแบบฝืน ๆ หรือเอาไว้บอกว่า มุกนี้เก่าไปแล้ว
💀 Skull อีโมจิที่อาจจะเอาไว้ใช้กันในช่วงฮาโลวีน สื่อถึงความตาย อันตราย แต่สำหรับ Gen Z อีโมจินี้ คือ ขำจนตุย โคตรฮา ขำไม่ไหวแล้ว
👀 Side Eyes มักใช้เมื่อรู้สึกสนใจ แอบดู แต่ความหมายของชาว Gen Z คือเป็นการจับตามอง เมื่อสงสัย ไม่เห็นด้วย หรือจับผิดอะไรบางอย่างที่น่าจะมีเลศนัย
👍Thumbs Up ! เยี่ยมไปเลย หรือ ทำดีมาก แต่อีกความหมายหนึ่งคือเป็นการประชด เหมือนว่าทำอะไรก็ได้ตามสบายเลย
✅ Checkmark คนส่วนใหญ่อาจจะใช้อีโมจินี้ในการเช็กว่าตรวจแล้ว ผ่านแล้ว อาจมีอีกหนึ่งความหมายในสายตา Gen Z ว่า สั่งแล้ว ทำเลย เหมือนเป็นการออกคำสั่ง
🤡 Clown อีโมจิตัวตลกที่เอาไว้แทนความสนุกสนาน แต่อีกความหมายหนึ่ง ถูกตีความหมายว่า โง่ หรือดูเป็นตัวตลก
🧢 Baseball Cap อีโมจิเจ้าหมวกสีฟ้า ที่อาจจะไม่ค่อยได้ใช้กัน แต่มีความหมายว่า โกหก/ Fake ดูเป็นเรื่องแต่ง โดยมาจากคำสแลงว่า No Cap ที่แปลว่า ถ้ามีใครส่งอีโมจินี้มาให้รู้เลยว่าเขาอาจะคิดว่าคุณโกหกอยู่

เมื่ออีโมจิกลายเป็นภาพสะท้อนของภาษา
ในอดีต เราอาจจะมองอีโมจิเป็นเพียงส่วนเสริมเพื่อเพิ่มอรรถรสให้กับบทสนทนา แต่ปัจจุบันนี้อีโมจิ ได้กลายเป็นภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงของภาษา ที่ไปไกลกว่าแค่ตัวอักษรและคำแบบเดิม ๆ กลายเป็นมิติใหม่ ๆ ของภาษาที่สะท้อนช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) อย่างเห็นได้ชัด
ยกตัวอย่างจาก ภาพยนตร์เรื่อง Adolescence ที่ใช้อีโมจิในการสื่อสาร เมื่อเจเนอเรชันต่างกัน การใช้อีโมจิหรือการตีความของอีโมจิเดียวกัน ก็อาจจะเกิดความคลาดเคลื่อนทำให้เกิดความเข้าใจผิดในการสื่อสาร เกิดความขัดแย้งกันโดยไม่รู้ตัว เช่น ยาเม็ดสีฟ้า สีแดง ที่ผู้ใหญ่เข้าใจว่ามาจากหนัง The Matrix แต่เด็ก Gen Z หรือ Gen Alpha ไม่รู้จักกันแล้ว
ยังมีอีโมจิอีกหลายตัวที่ถูกเอามาตีความในเชิงลบ อย่าง 💎🧪🐴 ที่หมายถึงของผิดกฎหมายหรือประเภทยาเสพติด
☕ หนึ่งในสัญลักษณ์ของการเหยียดเพศหญิง หรือแม้กระทั่งอีโมจิหัวใจที่ชอบใช้กันบ่อย ๆ ก็ยังมีความหมายแฝง
นอกจากนี้ ปัญหาเรื่องความแตกต่างของรูปแบบอีโมจิในแต่ละแพลตฟอร์มหรือระบบปฏิบัติการ เช่น iOS และ Android ที่เราอาจจะตั้งใจส่งอีโมจิไป แต่ผู้รับได้รับอีโมจิที่แสดงอีกรูปแบบหนึ่งได้
เพื่อให้การสื่อสารออกมาได้มีอย่างประสิทธิภาพและเข้าใจตรงกัน ก็ควรให้เป็นไปตามบริบทที่เหมาะสมกับคู่สนทนา เช่น การหลีกเลี่ยงอีโมจิที่มีความหมายคลุมเครือเมื่อสื่อสารในประเด็นสำคัญ เพื่อลดความเสี่ยงจากความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นได้