ถ้าจะพูดถึงวิธีเก็งกำไรยอดนิยม ก็คงหนีไม่พ้นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ลงทุนในกองทุน แลกเงินตราต่างประเทศ ซื้อที่ดิน ซื้อทองแต่เดี๋ยวนี้ปี 2019 แล้ว Cryptocurrency ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนรุ่นใหม่ แต่ปัญหาที่เจอบ่อยคือ พอลงทุน Crypto ไป กำไรเยอะ (และมาพร้อมความเสี่ยงเช่นกัน) แต่ก็ไม่รู้จะเอาเงินออกมาใช้จ่ายประจำวันอย่างไร เพราะ Liquidity หรือ สภาพคล่องมันน้อย ไม่ได้มีให้กดเงินสดตามตู้ แต่วันนี้มีบัตร TenX Card ที่จะทำให้การฝาก โอน รับ และ ใช้จ่ายด้วย crypto ชื่อดังอย่าง Bitcoin และ Ethereum เป็นรูปธรรมมากขึ้น

TenX

บัตร TenX เป็นบัตรเดบิตจากบริษัท TenX สตาร์ตอัปที่ก่อตั้งในประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่ปี 2015 มีมูลค่าจากการระดมทุน ICO สูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก โดยมีมูลค่ากว่า 80 ล้านเหรียญสหรัฐ และที่สำคัญมี Co-Founder เป็นคนไทยซะด้วย โดยได้ใบรับรองจาก Electronic Money Institution (EMI) ให้เปิดบริการในทวีปยุโรปอย่างถูกต้อง และตอนนี้ก็เปิดบริการในเอเชียแปซิฟิก ทั้งสิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, ฮ่องกง, ไทย, ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และกำลังขยายไปยุโรป

เมื่อเทียบกับบัตรทั่วไปเวลาเราใส่เงินเข้าไป 100 บาท ค่าเงินก็จะอยู่ที่ 100 บาทไม่เปลี่ยนแปลง แต่เนื่องจากบัตรนี้อิงกับสกุลเงินดิจิทัล เวลาค่าเงิน Cryptocurrency ที่คุณฝากสูงขึ้น มูลค่าเงินที่คุณมีอยู่ในบัตรอาจเพิ่มขึ้นได้ ราวกับว่าทำให้เราสามารถมีกำไรขึ้นมาได้อัตโนมัติ ถือว่าเป็นอีกช่องทางการลงทุนได้ แต่ต้องเข้าใจว่าเมื่อมันอ่อนค่าลง มูลค่าก็ลดลงไปด้วย ก็เป็นความเสี่ยงในการลงทุนเช่นกัน

ส่วนความคล่องตัวในการใช้จ่ายเงินก็สามารถใช้กับร้านค้าที่รับ Visa ด้วย TenX ได้เลย โดยเรตเนี่ยเขาจะอิงจากทาง TenX โดยจะมีความแตกต่างจากราคาหลักอยู่ที่ประมาณ 2-3% ครับ นอกจากนั้นคุณยังสามารถไปที่ตู้เอทีเอ็มทั่วโลกที่รับ Visa เพื่อกดเงิน Crypto ที่คุณฝากไว้ในบัตรเป็นเงินสดได้เช่นเดียวกัน แต่ต้องเสียค่า Fee ตามราคาของแต่ละประเทศนะครับ

สำหรับขั้นตอนการใช้งานบัตรเวลาจะรูดหรือกดเงินก็ง่าย ๆ ดังนี้

  1. เลือกสกุลที่ต้องการใช้หรือถอน ด้วยการเลื่อนไปที่หน้า crypto ที่ต้องการ แล้วติ๊กที่ “SET AS PRIMARY”
  2. หลังจากนั้นให้คุณ เสียบบัตร รูดบัตร หรือ แตะบัตร เงินก็จะถูกตัดตามสกุลที่เรา set

*ถ้าเป็น ATM จะถาม PIN ก็ให้เปิดไปดู PIN ในแอปที่หน้า Card และกด Show PIN ครับ เท่านี้ก็กดเงินได้แล้ว

TenX มีตรงไหนน่าสังเกตบ้าง?

  1. โดยรวมแล้ว TenX ตอบโจทย์ทั้งการลงทุน ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และ เดินทางต่างประเทศ เพราะว่าใช้ง่ายเหมือนบัตรเดบิตที่เราใช้กันเป๊ะ จนเกือบลืมไปเลยว่ากำลังใช้คริปโตอยู่ เรียกได้ว่าทำให้สกุลเงินดิจิตอลใกล้ตัวเรามาก แต่ก็เหมือนทุกการลงทุนทั่วไปนั่นแหละครับ มีความเสี่ยง โดยเฉพาะเงิน crypto ก็อาจจะมีความผันผวนพอสมควร เวลาคุณได้ก็อาจได้เยอะ แต่ก็ต้องลงทุนอย่างมีสติกันด้วย
  2. พูดถึงเงิน crypto ถ้าคุณเดินดุ่ม ๆ ไปที่ร้านค้าแล้วถามเขาว่ารับ crypto ไหม รับ Bitcoin ไหม ก็คงไม่น่ามีหรอก แต่ข้อดีของบัตร TenX คือมันผูกกับ Visa ทำให้มีความน่าเชื่อถือไปอีกขั้น คนทุกมุมโลกยอมรับ นอกจากนั้นยังมีการยืนยันตัวตน – ปลอดภัยด้วยระบบ 2FA และตรวจสอบยืนยันบัญชีด้วย KYC
  3. ขณะนี้สกุลเงิน Crypto ที่คุณสามารถนำไปฝากใน wallet ได้ คือ บิทคอยน์ (Bitcoin) อีเธอเรียม (Ethereum) และไลท์คอยน์ (Litecoin) ซึ่งในอนาคตทาง TenX ก็เตรียมเพิ่มสกุลเงินใหม่ ๆ เข้าไปด้วย
  4. อัตราในการให้บริการแปลงค่าเงิน crypto มาใช้จ่ายเป็นสกุลเงินทั่วไป หรือ “ค่า spread” จะ สูงกว่าเรตตามเวปทั่วไป เพื่อแลกกับความคล่องตัว สะดวกสบายในการใช้จ่าย ส่วนการกดเงินก็มีค่าบริการอยู่ที่ 3.25 ดอลลาร์สหรัฐต่อครั้ง และอาจมีการบวกกับค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากตู้ปลายทางนั้น ๆ ด้วย แต่อยากให้คิดอย่างนี้ครับ เวลาเราถอนเงินจากเว็บเทรดคริปโตเป็นเงินสดก็มีค่าบริการที่สูงเช่นกัน และปกติแล้วเว็ปเทรดยังใช้เวลาโอนนานกว่าเราจะได้คริปโตเป็นเงินสด (ประมาณ 1 วัน) แต่ TenX ได้เงินทันที ก็ต้องลองพิจารณาดูครับว่าคุ้มค่ากับกำไรที่ได้ไปหรือไม่
  5.  สำหรับค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่ทาง TenX เรียกเก็บได้แก่ ค่าเปิดบัตร 15 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนั้นยังมีค่าธรรมเนียมบัตรรายปี 10 ดอลลาร์สหรัฐ แต่จะมีการงดเว้นให้ถ้าคุณใช้จ่ายผ่าน TenX เป็นมูลค่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไปในปีนั้น
    Cryptocurrency หรือ เงินดิจิตอลก็ยังเป็นเรื่องใหม่ในบ้านเรานะครับ ซึ่ง TenX ก็เป็นอีกทางเลือก ทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่เชื่อมโลกดิจิตอล กับชีวิตประจำวันให้คล่องขึ้น ไม่ต้องไปหาคนเทรด ซึ่งถ้าคุณศึกษาสกุลเงินดิจิตอลอย่างถูกต้องแล้ว มันก็คือช่องทางการลงทุน ควบคู่ไปกับการใช้จ่ายดี ๆ นี่เอง

อย่างไรก็ตามไม่ว่าคุณจะลงทุกประเภทไหน หรือใช้บัตรอะไร สตางค์ต้องคู่กับสติเสมอ