รีวิว Canon iNSPiC ทั้ง 3 รุ่นที่วางขายอยู่ตอนนี้ เครื่องพิมพ์รูปเล็กๆ น้ำหนักเบา พกใส่กระเป๋าไปพิมพ์ที่ไหนก็ได้ รุ่นไหน เหมาะกับใคร รู้เลยที่นี่!

เจ้าเครื่อง Canon iNSPiC ทั้ง 3 รุ่นนี้ทำอะไรได้บ้าง สิ่งที่เจ้าเครื่องเล็กๆ พวกนี้ทำได้เหมือนกันคือพิมพ์รูปขนาด 2×3 นิ้วออกมาด้วยเทคโนโลยี ZINK หรือ Zero Ink Technology ค่ะ ซึ่งเป็นการใช้ความร้อนทำให้กระดาษ ZINK นี้มีภาพปรากฎออกมา โดยพิมพ์ 1 รูปจะใช้เวลาประมาณ 50 วินาทีค่ะ ซึ่งพิมพ์ได้โดยไม่ต้องเสียบปลั้กด้วย พกไปเที่ยวก็ได้ พิมพ์เสร็จก็แจกเพื่อนตรงหน้าได้เลย

ความพิเศษของกระดาษ ZINK คือมันเป็นสติกเกอร์ได้ด้วย! ลอกแผ่นด้านหลังออกแล้วเอาไปแปะอะไรก็ได้ แล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์เลย งานนี้สาย DIY ชอบมาก แปะโน้ตบุ๊ก แปะสมุด แปะแก้ว แปะถ้วย หรือสายรักครอบครัวก็พิมพ์รูปลูกมาแปะเก็บในสมุดก็ได้ แปะรูปแฟนติดโน้ตบุ๊กก็ยังได้ จะได้คิดถึงเค้าได้ตลอดเวลา

แล้ว Canon iNSPiC นี้แตกต่างกันยังไงบ้าง มันต่างกันที่วิธีการใช้งานค่ะ คือ

iNSPiC [P]

เริ่มต้นที่น้องเล็กก่อน iNSPiC [P] ซึ่งตัว P คือ Printer นั่นเองค่า เป็นรุ่นที่สั่งพิมพ์รูปจากมือถือได้อย่างเดียว ถ่ายรูปไม่ได้ และเป็นรุ่นที่เบาที่สุด หนักแค่ 160 กรัมเท่านั้น

iNSPiC [C]

ตัวต่อมา iNSPiC [C] ตัว C คือ Camera นั่นเอง เป็นรุ่นที่มีกล้อง 5 ล้านพิกเซล เอาไว้ถ่ายภาพแล้วพิมพ์ได้เลย แต่สั่งพิมพ์จากมือถือไม่ได้นะจ๊ะ ตัวนี้หนักแค่ 170 กรัมเอง

iNSPiC [S]

สุดท้ายตัวท็อปสุดเลยคือ iNSPiC [S] ที่รวมเอาเครื่องพิมพ์และกล้องถ่ายรูป 8 ล้านพิกเซลไว้ด้วยกัน จะสั่งพิมพ์จากมือถือ หรือจะถ่ายภาพตรงหน้าแล้วพริ้นต์ออกมาได้เลย ถึงความสามารถเยอะ แต่ก็ยังเบาอยู่ดี หนักแค่ 188 กรัมเอง

กล้องของ Canon iNSPiC

มาเจาะลึกความเป็นกล้องของ Canon iNSPiC [C] กับ iNSPiC [S] กันหน่อยนะคะ การถ่ายรูปของกล้อง 2 รุ่นนี้จะให้อารมณ์กล้องฟิล์มยุคเก่า คือไม่มีจอ LCD ด้านหลังค่ะ! การถ่ายภาพจะต้องเล็งผ่านช่องมองภาพเท่านั้น ซึ่งกล้องทั้ง 2 ตัวนี้ก็มีปุ่มเลือกสัดส่วนภาพว่าพิมพ์เต็มกระดาษที่ 2 x 3 นิ้ว หรือจะพิมพ์ออกมาแค่สี่เหลี่ยมจัตุรัส 2 x 2 นิ้วก็ได้ นอกจากนี้ยังมีปุ่มพิมพ์ภาพซ้ำ เอาไว้พิมพ์ภาพเดิมหลาย ๆ ครั้ง เผื่อแจกเพื่อนหลายคน นอกจากนี้ยังสามารถใส่ MicroSD ได้สูงสุด 256 GB สำหรับเก็บภาพที่ถ่ายไว้เปิดในอุปกรณ์อื่นได้อีกด้วย

ถึงเครื่องพิมพ์ทั้ง 2 รุ่นนี้จะถ่ายแล้วได้ภาพเลยเหมือนกัน แต่คุณภาพกล้องแตกต่างกันนะคะ คือ Canon iNSPiC [S] เป็นเครื่องรุ่นท็อป ราคาแพงกว่า กล้องก็จัดเต็มหน่อยด้วยความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.2 โฟกัสใกล้สุดแค่ 30 cm ส่วน iNSPiC [C] จะเป็นกล้อง 5 ล้านพิกเซล f/2.4 ที่รับแสงได้น้อยกว่า และระยะโฟกัสใกล้สุดจะเป็น 50 cm

และอีกจุดที่ที่แตกต่างกันคือแฟลชของ iNSPiC [S] นั้นจะมีโหมด Fill Flash ที่ไฟ 8 ดวงหน้าเลนส์ พร้อมแฟลชหลักอีก 1 ตัวตรงนี้จะติดขึ้นพร้อมกัน ทำให้ใบหน้าเราสว่างใสกระจ่าง แถมหน้าเลนส์ยังเป็นกระจกขนาดใหญ่ ให้เราเห็นตัวเองชัดๆ ด้วย ส่วน iNSPiC [C] เป็นแฟลช 1 ดวงสำหรับใช้งานทั่วไปค่ะ และมีกระจกเล็ก ๆ สำหรับถ่าย Selfie อยู่ด้านหน้าด้วย

โหมดการพิมพ์

ส่วนการใช้งานในโหมดเครื่องพิมพ์ ใน iNSPiC [S] และ iNSPiC [P] นั้นจะทำงานผ่านแอป Canon Mini Print ซึ่งดาวน์โหลดได้ฟรีทั้ง iOS และ Android โดยเครื่องพิมพ์จะเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนผ่าน Bluetooth ซึ่งถ้าเป็นมือถือ Android ก็จะเชื่อมต่อง่ายเข้าไปอีก แค่เอาเครื่องพิมพ์แตะกับ NFC ของโทรศัพท์ ก็จะเชื่อมต่อกัน ซึ่งแอป Canon Mini Print นั้นมีลูกเล่นเยอะเลย เราสามารถถ่ายรูปผ่านแอปนี้พร้อมใส่เอฟเฟกแบบ AR พวกหัวสัตว์ หรือแว่นตาลงบนใบหน้าของเราได้ ใส่เอฟเฟกปรับหน้าให้ยู่จนตลกก็ได้

แน่นอนว่าเราต้องเอารูปที่เก็บในมือถือมาพริ้นท์ก็ได้ แถมสามารถเชื่อมต่อบัญชี Facebook, Instagram, Google Photo หรือ Dropbox เพื่อดึงรูปมาพิมพ์ก็ได้ แถมรูปที่เปิดเข้ามาในแอปยังสามารถปรับแต่งได้อีกเยอะค่ะ ทั้งปรับสี ใส่ฟิลเตอร์ภาพ วาดเส้น ใส่กรอบภาพ ใส่ตัวอักษรพร้อมเลือกแบบตัวอักษรได้ด้วย แต่เสียดายนิดหนึ่งที่ไม่มีฟอนต์ไทย และยังสามารถแปะสติกเกอร์ลงในภาพ ซึ่งก็มีให้เลือกแปะเยอะมาก พอตกแต่งเสร็จแล้วก็พิมพ์ได้เลย

ซึ่งถ้าพิมพ์รูปเดียวลงบนกระดาษ 2 x 3 นิ้วแล้วไม่จุใจ ก็สามารถสั่งพิมพ์แบบ Collage คือรูปเดียวพิมพ์ขยายลงกระดาษ 4 ใบหรือ 9 ใบ เพื่อมาเรียงต่อกันเป็นภาพใหญ่ก็ได้ ที่นี้พอพิมพ์ออกมาเยอะ ๆ ก็เอาไปติดสติกเกอร์กันได้อีกด้วย

จุดสังเกต

ที่นี้มาถึงจุดสังเกตของ Canon iNSPiC กันบ้าง อย่างแรกคือราคาของกระดาษ Zink ที่แคนอนขายอยู่กล่องหนึ่ง 20 แผ่นก็ประมาณ 300 บาท หรือประมาณแผ่นละ 15 บาท ซึ่งก็เป็นราคาที่หลายคนต้องคิดก่อนจะพิมพ์สักแผ่นเหมือนกัน แต่ก็ยังถูกกว่ากล้องที่เป็นแบบฟิล์มนะคะ

ส่วนคุณภาพงานพิมพ์ ผึ้งว่า Canon iNSPiC [S] เป็นเครื่องพิมพ์แบบ ZINK ที่ให้คุณภาพภาพดีสุดเท่าที่เราเคยใช้มานะคะ ให้ภาพได้สวยคม แต่ก็ยังไม่ใช่ระดับเดียวกับภาพที่อัดตามร้านนะคะ อันนั้นเครื่องพิมพ์เค้าใหญ่กว่าเราเยอะ!

และที่คุณควรรู้คือ Canon iNSPiC [S] นั้นมีความละเอียดในการพิมพ์สูงสุด 314 x 600 dpi ค่ะ ส่วน Canon iNSPiC [C] มีความละเอียดรองลงมาที่ 314 x 500 dpi และ Canon iNSPiC [P] ละเอียดน้อยสุดที่ 314 x 400 dp ถ้าพิมพ์ภาพเดียวกันมาเทียบ จะเห็นว่าภาพจาก Canon iNSPiC [S] นั้นสวยที่สุดค่ะ

ราคา

สำหรับราคาของ Canon iNSPiC เริ่มที่ iNSPiC [P] กับ iNSPiC [C] นั้นขายเท่ากันที่ 4,250 บาท ถ้าใครต้องการเครื่องที่พิมพ์ภาพจากมือถืออย่างเดียวก็เลือกเป็น iNSPiC [P] มี 3 สีให้เลือก ตัวที่ผึ้งถือคือ Mint Green แล้วก็มีสีทองชมพู Rose Gold และสีเทา Slate Grey ให้เลือก ส่วนใครที่อยากได้เครื่องที่ถ่ายรูปตรงหน้าแล้วพิมพ์เลยก็เลือกเป็น iNSPiC [C] ซึ่งก็มี 3 สีสดใส ตัวนี้คือสีน้ำเงิน Seaside Blue แล้วก็มีสีเหลือง Bumble Bee กับสีชมพู Bubble Gum Pink

ส่วนใครไม่อยากเลือก อยากได้ทั้ง 2 ฟังก์ชันเลย ก็ต้องไปตัวท็อป iNSPiC [S] ที่ทำได้ทั้งพริ้นต์จากมือถือและถ่ายรูป ตัวนี้ราคา 5,990 บาท ซึ่งให้คุณภาพการพิมพ์ดีที่สุดด้วย ผึ้งเชียร์ตัวนี้ค่ะ ซึ่งตัวนี้ของผึ้งเป็นสีทองชมพู Rose Gold แล้วก็มีสีดำ Mattle Black กับสีขาว Pearl White ให้เลือก

ใครสนใจ Canon iNSPiC ทั้ง 3 รุ่นก็คอยไปส่องโปรที่ Facebook Canon Thailand ได้ เพราะมีโปรดี ๆ ออกมาเรื่อย ๆ เลย รวมไปถึงยังสามารถซื้อได้จาก Canon eStore, Lazada และ Shopee ได้อีกด้วย