รู้หรือไม่ว่าแบรนด์ Nespresso เป็นกาแฟในรูปแบบแคปซูลเจ้าแรกของโลก ที่ช่วยให้คอกาแฟแบบพวกเราเข้าถึงรสชาติของกาแฟแบบ Espresso ได้ง่ายและสะดวกที่บ้านมานานกว่า 34 ปีแล้ว

และนี่คือเครื่องชงกาแฟแคปซูลจาก Nespresso ที่ล้ำมากจนเราต้องรีวิวให้ดูกัน แล้วจะเข้าใจว่าทำไมหลายๆ บ้านต้องมีเครื่อง Nespresso ติดบ้าน

กาแฟ Espresso คืออะไร?

ก่อนที่จะรีวิวเครื่อง ผมขออธิบายกาแฟ Espresso กันก่อนครับ Espresso เป็นกระบวนการทำกาแฟที่ใช้แรงดันไอน้ำอัดผ่านเมล็ดกาแฟที่บดละเอียดจนได้กาแฟที่เข้มข้นออกมา โดย Espresso นั้นกำเนิดขึ้นในอิตาลีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และค่อย ๆ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในศตวรรษที่ 20

เอกลักษณ์อีกอย่างของกาแฟ Espresso คือ Crema หรือชั้นฟองละเอียดเหนือกาแฟที่เกิดจากแรงดันของน้ำร้อนที่ผลักเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเมล็ดกาแฟออกมาด้วย ซึ่ง Crema จะสามารถบอกอายุของเมล็ดกาแฟได้ด้วย ถ้าไม่ค่อยมีฟองก็แปลว่าเป็นเมล็ดเก่าครับ

แต่การทำ Espresso นั้นละเอียดอ่อนกว่ากาแฟชนิดอื่น ๆ มาก อย่างแรกคุณต้องมีเครื่องทำเอสเพรสโซ่โดยเฉพาะ เพราะคุณไม่สามารถอัดน้ำร้อนแรงดันสูงได้ด้วยตัวเองได้แน่นอน ปริมาณกาแฟก็ต้องแม่น ตาชั่งต้องมี การบดกาแฟต้องละเอียดและถูกเบอร์ การกดกาแฟหรือ Tamping ก็ส่งผลต่อรสกาแฟ ที่สำคัญคือระยะเวลาที่น้ำผ่านกาแฟต้องเหมาะกับกาแฟแต่ละชนิดด้วย

แต่ทุกอย่างนี้มันง่ายขึ้นด้วยเครื่องชงกาแฟ Nespresso ได้จัดการเรื่องยากทุกอย่างให้เราหมดแล้ว เราแค่ใส่น้ำลงในแทงก์ของเครื่อง เลือกกาแฟแคปซูลรสชาติที่ชอบ ใส่เข้าเครื่อง กดปุ่ม แค่นี้คุณก็ได้ Espresso ชั้นดีพร้อม Crema ที่สวยงามแล้ว โดยจะแยกชั้นออกมาให้เห็นชัดเจน

ซึ่งวันนี้เรามีเครื่อง Nespresso 4 รุ่นในระดับเล็ก-กลาง-ใหญ่มารีวิวให้ดูกันครับ

Nespresso Gran Lattissima

Nespresso Gran Lattissima รุ่นใหญ่ที่สุดตัวนี้เพิ่งออกใหม่ล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีความสามารถมากที่สุด จนบอกได้ว่า ถ้าคุณชอบกาแฟนม เช่น คาปูชิโน่ ลาเต้ ก็แนะนำใช้เครื่อง Gran Lattissima รับรองไม่ผิดหวัง

จุดเด่นของ Gran Lattissima คือมีเมนูอัตโนมัติให้ผู้ใช้เลือกมากที่สุดถึง 9 เมนู ใน 3 หมวดเครื่องดื่มคือ
หมวด Espresso

  • Lungo หรือกาแฟ Espresso ที่ใส่น้ำเยอะ โดยจะใช้น้ำ 110 ml เมนูนี้เหมาะสำหรับกาแฟคั่วอ่อน
  • Espresso มาตรฐาน ใช้น้ำ 40 ml
  • Ristretto กาแฟเข้มข้นพิเศษ ใช้น้ำ 25 ml

หมวดกาแฟนมก็มี

  • Latte Macchiato
  • Caffe Latte
  • Flat White
  • Cappuccino

หมวดนมร้อน

  • Hot Foam คือ ฟองนมร้อน
  • Hot Milk คือนมร้อนธรรมดา

ซึ่งการทำ Cappuccino ด้วยเครื่อง Gran Lattissima ง่ายมาก ให้เราเติมน้ำอุณหภูมิห้องในแทงก์น้ำด้านหลัง หลังจากนั้น แค่คุณเลือกกาแฟแคปซูลรสชาติ ที่คุณชื่นชอบ ที่ชอบใส่เข้าไปในเครื่อง และตามด้วยเทนมสดแช่เย็นใส่ในแทงก์นมด้านหน้า กดเปิดเครื่อง แล้วรอประมาณ 25 วินาทีให้เครื่องอุ่นระบบการทำงานภายในภายใน ถ้ามีไฟแสดงที่หน้าเมนูแสดงว่าระบบพร้อมทำงานแล้ว

เมื่อปุ่ม Cappuccino เรืองแสงขึ้นมาก็กดให้เครื่องทำงานได้เลยครับ เครื่องจะอุ่นนมให้ร้อนและตีฟองนมให้เรียบร้อยก่อนจะรินลงแก้ว เสร็จแล้วตามด้วยกาแฟ Espresso ผ่านแคปซูลรินลงแก้วไป เท่านี้ก็เรียบร้อย แต่กาแฟจากเครื่อง Nespresso นั้นจะไม่มีน้ำตาลเลยนะครับ ซึ่งถ้าคุณชอบรสหวาน ก็ต้องเติมลงไปเองนะ แต่กาแฟไม่ใส่น้ำตาลดีต่อสุขภาพมากกว่านะ

แล้วหลังจากใช้ Gran Lattissima เสร็จก็ทำความสะอาดไม่ยากครับ ถ้าเราทำเมนููนม ให้เอาแก้วเปล่ามารองน้ำตรงนี้ก่อน แล้วหมุนให้เป็นโหมดทำความสะอาด เครื่องก็จะดึงน้ำร้อนมาล้างน้ำนมในท่อ ตรงนี้สำคัญมากๆ เพราะท่อนมจะได้ไม่อุดตัน แถมไม่มีนมบูดตกค้างในท่อนมอีกด้วย และในกรณีที่นมยังเหลือ ให้เราก็ดึงเอาแทงก์นมทั้งตัวนี้เข้าไปเก็บในตู้เย็นไว้ใช้ต่อในวันหลังได้ครับ

ส่วนถ้าวันไหนเราไม่ได้กินกาแฟนม ก็ไม่ต้องเอาแทงก์นม มาเสียบเครื่องก็ได้ครับ กด Espresso มากินได้เลย

โดยรวมแล้วเครื่องกาแฟจาก Nespresso นั้นดูแลรักษาง่ายครับ อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องถอดล้าง ก็ออกแบบให้ถอดง่าย ล้างง่าย สิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำเมื่อใช้เครื่องไปนาน ๆ ก็แค่ล้างตะกรันออกจากเครื่องเท่านั้นเอง ซึ่งปกติจะล้างกันทุก 1 ปี หรือประมาณ 600 แก้ว โดยใช้น้ำยาล้างตะกรันของ Nespresso มาไหลผ่านเครื่องก็เรียบร้อย

และอีกสิ่งที่ทำให้ Nespresso อยู่ยืนยงมาหลายทศวรรษคือตัวกาแฟแคปซูลนี่เอง เพราะแคปซูลของ Nespresso ไม่ได้มีให้เลือกหยาบ ๆ ไม่กี่ชนิดเหมือนกาแฟสำเร็จรูปทั่วไป แต่ปัจจุบันมีให้เลือกราว 30 แบบ หรือ 5 กลุ่มหลัก โดยที่แคปซูลมีสีสันแตกต่างกัน ซึ่งให้กลิ่น,ความเข้ม และ รสชาติแตกต่างไป เช่นคุณชอบกาแฟเข้มมาก ๆ ก็ต้อง กลุ่ม Ispirazione Italiana เช่น Kazaar ความเข้มถึง 12 โดยสีของแคปซูลก็บอกถึงความเข้มของกาแฟได้เหมือนกัน หรืออยากได้กาแฟแต่งกลิ่นขนมหน่อยก็ต้อง กลุ่ม Barista Creation มี Caramel Crème Brûlée ให้เลือก หรืออยากได้กาแฟเฉพาะเจาะจงจากแหล่งผลิตก็มีกลุ่ม Master Origin ที่เลือกเช่นกาแฟเข้มหอมเครื่องเทศจากอินเดีย หรือกาแฟเบา ๆ ที่หอมกลิ่นดอกไม้จากเอธิโอเปียก็ได้ ใครอยากดื่มกาแฟดำแบบไม่เข้มมาก ก็นี้ต้อง กลุ่ม Espresso&Lungo มีความเข้มตั้งแต่ 4-9 ด้วยกัน ส่วนใครอยากลดปริมาณคาเฟอีนก็มีกาแฟในกลุ่ม Decaffeinato ที่แคปซูลจะมีจุดแดง ๆ เรียกว่ามีครบทุกรูปแบบจริง ๆ

โดยปกติ Nespresso ก็จะออกกาแฟแบบ Limited Editionหรือ Seasonal ออกมาเรื่อยๆ ให้เราลองกาแฟรสชาติใหม่ๆ โดยใครที่ติดใจกาแฟแบบ Limited Edition นี่ต้องซื้อตุนกันไว้เยอะ ๆ เลย เพราะหมดแล้วหมดเลย

และสิ่งที่คุณต้องดูเวลาหยิบแคปซูลมาใช้คือลัญลักษณ์ข้างกล่องตรงนี้ ว่าแคปซูลนี้เหมาะเอาไปทำ Ristretto, Espresso หรือ Lungo เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด ส่วนถ้าใครไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง ก็สามารถไปทดลองชิมกาแฟและลองใช้เครื่องของ Nespresso ที่ Nespresso Boutiques ได้

โดยกาแฟแคปซูลของ Nespresso นั้นคัดเลือกเมล็ดมาจากมากกว่า 13 ประเทศทั่วโลก แล้วมาคั่วบดและบรรจุแคปซูลที่โรงงานในสวิตเซอร์แลนด์ รับรองคุณภาพได้

แล้วถ้าถามกาแฟแคปซูลเก็บได้นานไหม เราแนะนำก็ให้ทานภายใน 1 ปีหลังจากวันที่ผลิต ซึ่งจะมีเขียนไว้ข้างกล่อง จะทำให้รสชาติสดใหม่ อีกทั้งแคปซูลยังสามารถส่งกลับทาง Nespresso เพื่อไป Recycle เรียกว่าดื่มกาแฟแบบรักโลกสุด ๆ

กลับมาที่เครื่องทำกาแฟกันต่อ Nespresso Gran Lattissima ที่เรารีวิวนี้ราคา 13,500 บาทครับ ก็คุ้มอยู่สำหรับความสามารถเยอะขนาดนี้ ส่วนรุ่นอื่น ๆ ก็จะมีราคาลดลันลงมาครับ

Lattissima One

Lattissima One ตัวนี้ก็ทำกาแฟนมได้ครับ เป็นรุ่นน้องของรุ่น Gran โดยมีแทงก์นมมีขนาดเล็กที่สามารถทำเมนูกาแฟนมได้ 1 แก้วแล้วต้องเติมนมในแทงก์ใหม่ วิธีการใช้งานก็ต้องใส่นมลงช่องด้านหน้านี้ตามเมนูที่ต้องการ ใส่นมแค่ขีดล่างนี้สำหรับทำ Cappuccino ส่วนถ้าใส่นมถึงขีดบนจะทำ Latte Macchiato ครับ เสร็จแล้วกดปุ่มทำกาแฟนม ก็จะได้กาแฟพร้อมโฟมนมตามปริมาณนมที่ใส่ไป นอกจากนี้ยังทำกาแฟ Espresso และ Lungo ได้ สรุปว่าทำได้ 4 เมนู ราคา 11,500 บาท

รุ่น inissia และ Essenza Mini

inissia และ Essenza Mini มีคุณสมบัติเหมือนกันทุกอย่าง เหมาะสำหรับคนชอบดื่มกาแฟดำอย่างเดียว แต่ก็สามารถเทนมเติมได้ทีหลังได้ โดยจะสามารถทำกาแฟได้สองแบบคือ Espresso และ Lungo

สองรุ่นนี้ต่างกันหลักๆ คือ ดีไซน์ วัสดุที่ใช้ผลิต ขนาดแท็งก์น้ำด้านหลัง และที่เก็บจำนวนแคปซูลที่ใช้แล้วด้านล่าง โดย Essenza Mini จะตัวเล็กและเบากว่า เพียง 2.3 กิโล เล็กจนติดไปเที่ยวยังได้เลย

โดยราคาของ inissia จะอยู่ที่ 5,500 บาท ส่วน Essenza Mini อยู่ที่ 4,500 บาท เท่านั้น เรียกกว่าถ้าใครดื่มกาแฟบ่อย ๆ ยังไงก็คุ้ม ประหยัดไปได้เยอะ

Aeroccino 3

แล้ววันไหนดื่มกาแฟดำเบื่อ ๆ อยากเปลี่ยนแนวให้กาแฟมีฟองนมนุ่ม ๆ อยู่ด้านบน Nespresso เค้าก็มี Aeroccino 3 เครื่องตีฟองนมแยกขาย แค่เทนมและกดปุ่มเดียว เครื่องก็จะตีฟองนมนุ่ม ๆ ออกให้ภายในหนึ่งนาที

สรุปคือเครื่องกาแฟของ Nespresso ทุกรุ่นสามารถทำกาแฟ Espresso และ Lungo ได้เหมือนกันหมดครับ เพราะใช้แรงดันน้ำ 19 บาร์ทำกาแฟดำได้เหมือนกัน รสชาติเดียวกันเป๊ะ ตั้งแต่รุ่นเล็กสุดคือ Essenza Mini จนถึง Gran Lattissima ซึ่งถ้าคุณไม่ได้กินกาแฟนม ก็ซื้อรุ่นเล็กหรือรุ่นที่ไม่มีแทงก์นมก็ได้ ประหยัดได้หลายพัน แล้วก็สามารถซื้อเครื่องตีฟองนม Aeroccino แยกได้ถ้าวันไหนอยากกินกาแฟนมขึ้นมา

แต่ถ้าคุณชอบดื่มกาแฟนมเป็นปกติอยู่แล้ว ก็สามารถเลือกตระกูล Lattissima ได้เลยเพราะทำกาแฟนมได้อัตโนมัติ

เหมาะกับใครบ้าง?

โดย Nespresso Thailand ไม่ได้เจาะตลาดแต่กลุ่มลูกค้าในครัวเรือนอย่างเดียว โดยปีนี้ Nespresso Thailand ได้นำเข้าเครื่องชงกาแฟแบบธุรกิจ หรือ B2B Business to Business ซึ่งเหมาะสำหรับ โรงแรม หรือร้านอาหาร ออฟฟิศ ที่วันนึงชงกาแฟเป็นจำนวนมากต่อวัน จะให้ใช้เครื่อง สี่เครื่องนี้ คงไม่ไหวใช่ไหมครับ

จุดสังเกต

ส่วนจุดสังเกต จริง ๆ เราก็ไม่อยากเรียกว่าจุดสังเกตเท่าไหร่ แต่คนไทยเราชอบกาแฟเย็นกันใช่ไหมครับ ซึ่งเครื่อง Nespresso นั้นไม่มีโหมดทำกาแฟเย็นโดยเฉพาะ ผู้ใช้ที่รักความเย็นก็ต้องเตรียมกาแฟ Espresso หรือ Lungo ออกมาก่อน แล้วเอาไปผสมกับน้ำเชื่อมหรือน้ำแข็งตามสูตร ซึ่ง Nespresso ก็มีสูตรกาแฟเย็นที่น่าสนใจมากมายอยู่ในเว็บ ผมดูแล้ว ICED AMERICANO เมนูนี้น่าจะเตรียมง่าย ใช้ Espresso 2 แคปซูลราดน้ำแข็งแล้วเติมน้ำเย็นก็เรียบร้อยแล้ว

ราคาของแคปซูล

ถ้าถามว่า Nespresso คุ้มค่าไหม ราคาเครื่องเรารู้ไปแล้ว มาดูราคาแคปซูลกันครับ ปัจจุบันแคปซูลของ Nespresso มีราคาตั้งแต่ 20 ถึง 24 บาทต่อแคปซูลแล้วแต่ชนิดกาแฟ ก็หมายความว่าคุณกินกาแฟช็อตหนึ่งไม่ถึง 25 บาท ถ้าเทียบกับร้านดัง ๆ ที่ซ็อตหนึ่งเหยียบร้อยก็ถือว่าถูกกว่าพอสมควรเลยนะ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส