เชื่อว่าทุกวันนี้ แฟน ๆ แบไต๋ส่วนใหญ่เสพสื่อออนไลน์ผ่านการสตรีมมิ่งกันเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอจาก Youtube, Netflix เพลงจาก Spotify, Joox หรือ Tidal ซึ่งบริการสตรีมมิ่งแบบเสียเงินเหล่านี้ก็จะมี Family Plan หรือแผนสมาชิกสำหรับครอบครัว ที่สมัครสมาชิกในราคาพิเศษ แล้วสามารถใช้งานได้พร้อมๆ กันหลายเครื่องในครอบครัว จึงเกิดคำว่า “ตั้งตี้” หรือตั้งปาร์ตี้เพื่อหารค่าบริการกันซึ่งถูกกว่าสมัครแยกเป็นรายบุคคลมาก

เช่น Netflix จะมี Premium Plan แผนสมาชิกระดับสูงสุดที่สามารถรับชมเนื้อหาความละเอียด 4K HDR พร้อมกันได้ 4 อุปกรณ์ ราคา 420 บาทต่อเดือน หรือ Spotify ก็มีแผน Premium Family ที่สามารถรับฟังเพลงคุณภาพสูงได้ถึง 6 คน ในราคา 199 บาทต่อเดือน

อย่าง Spotify ถ้าเราสามารถรวมผู้ใช้ได้ 6 คน ค่าบริการก็จะเหลือประมาณเดือนละ 35 บาทต่อคนเท่านั้น ซึ่งถูกกว่าสมัครสมาชิกแยกที่คิดเดือนละ 129 บาทราว 4 เท่า

แล้วการตั้งตี้กันแบบนี้ แบบไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน แล้วมาหารกันมันผิดไหม บอกตรง ๆ ว่าผิด! ซึ่ง Spotify ก็เขียนไว้ชัดเจนในข้อตกลงการใช้บริการสำหรับครอบครัวข้อที่ 2A ว่า

“เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการใช้งานจากการสมัครใช้บริการ Premium สำหรับครอบครัว ผู้ถือบัญชีหลักและผู้ถือบัญชีย่อยต้องเป็นสมาชิกครอบครัวซึ่งพักอาศัยในที่อยู่เดียวกัน

ซึ่งถ้า Spotify ตรวจพบว่าสมาชิกในแผน Premium Family นั้นไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน หรือเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็มีสิทธิ์ยกเลิกสมาชิกทั้งหมดได้ทันที หรืออย่าง Netflix ก็เขียนข้อกำหนดการใช้งานในข้อ 4.2 ไว้ว่า

“บริการของ Netflix และเนื้อหาใด ๆ ที่รับชมผ่านบริการมีไว้เพื่อการใช้งานส่วนบุคคลและไม่ใช่การใช้งานเชิงพาณิชย์เท่านั้นและไม่สามารถแบ่งปันกับบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในครัวเรือนของคุณ”

ซึ่งมีผลสำรวจจากเว็บ cordcutting ที่สำรวจคนอเมริกา 1,000 คนเมื่อช่วงต้นปี 2020 ระบุออกมาว่า ผู้ใช้ Netflix 15.1% หรือประมาณ 27 ล้านคนที่ไม่ได้ใช้บัญชีของตัวเองในการชม แต่ใช้บัญชีของพ่อแม่, คู่รัก, พี่น้อง และอื่นๆ ซึ่งทำให้ Netflix เสียโอกาสสร้างรายได้ไปมากกว่า 2 พันล้านเหรียญต่อปี

แต่ทำไม Netflix ถึงไม่ทำอะไร และ Reed Hasting ซีอีโอของ Netflix ยังเคยออกมาพูดในปี 2016 ว่า “เราคงไม่ทำอะไรกับการแชร์รหัสผ่านของผู้ใช้ ผู้ใช้ต้องเรียนรู้เอง เพราะมันก็ไม่ผิดกฎอะไรที่จะแชร์รหัสผ่านกับคู่รักของคุณ ลูก ๆ ของคุณ”

ซึ่งจริงๆ ถ้า Netflix ต้องการไม่ให้คนนอกครอบครัวใช้บัญชีเดียวกันได้ ก็ไม่น่ายากเกินมือวิศวกร Netflix เพราะเราสามารถจับตำแหน่งการใช้งานของผู้ใช้ได้ และพิจารณาการใช้ทันทีว่าขัดเงื่อนไขใช้งานในบ้านหรือไม่

เรื่องนี้มันมีความเทา ๆ ของที่เราต้องคิดให้ลึกสักนิด ก็จะพอเข้าใจว่าทำไม Netflix หรือบริการ Streaming อื่น ๆ ต้องหลับตาข้างหนึ่งแบบนี้

ประเด็นแรกคือ บริการแบบ Family นั้นยกเลิกสมาชิกยากกว่าบริการแบบสมัครรายคนนะคะ สมมุติว่าเดือนนี้ชลไม่ดู Netflix แล้ว แต่คนที่บ้านยังดูอยู่ คุณแม่ยังดูอยู่ ชลก็คงไม่ยกเลิกบริการจริงไหมคะ ซึ่งเหตุผลนี้ก็ใช้กับคนที่ตั้งปาร์ตี้กันได้ด้วย ถ้าเราเปิดบ้านให้คนอื่นมาอยู่ด้วย เราก็คงไม่สามารถปิดบ้านทิ้งได้ง่าย ๆ ผู้ให้บริการก็จะได้รายได้สม่ำเสมอทุกเดือน ดีกว่าให้ผู้ใช้ปิด ๆ เปิด ๆ บัญชีตามเนื้อหาที่อยากดู

ประเด็นที่ 2 การลงดาบกับผู้ใช้ที่ทำผิดกฎอย่างเปิดเผย ทำให้เป็นเรื่องขาวกับดำแทนที่จะเป็นโซนเทา ๆ นั้นไม่ถือเป็นการโฆษณาให้ผู้คนหันมาใช้บริการได้ดีแน่ ๆ ผู้ใช้จำนวนไม่น้อยอาจรู้สึกไม่ดี รู้สึกถูกบีบมากเกินไปกับบริการจนไม่อยากใช้

เราจึงเห็นว่าบริการต่าง ๆ จัดการเรื่องนี้อย่างเงียบ ๆ เช่น Spotify ก็มีการปิดบัญชีที่ทำผิดกฎเรื่อย ๆ ซึ่งจุดนี้ผู้ใช้ก็โวยไม่ได้เพราะทำผิดกฎจริง

ซึ่งที่ผ่านมาค่ายสตรีมมิงต่าง ๆ มองว่าการเข้าเว็บเถื่อน หรือโหลดเพลงโดยผิดกฎหมายนั้นเป็นศัตรูเบอร์หนึ่ง เพราะเสียผู้ใช้ เสียรายได้ทุกอย่างโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย จึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งเพื่อให้ไม่ให้ผู้ใช้รู้สึกว่าการใช้ของถูกกฎหมายเป็นเรื่องยุ่งยาก หรือต้องจ่ายค่าบริการแพง ๆ ในการใช้

แต่ผู้ใช้อย่างเราก็อย่าได้ใจไป คิดว่าเจ้าของบริการเค้าไม่จับเราอย่างจริงจังแล้วจะสามารถหาบ้าน ตั้งตี้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ เพราะการเปิดปาร์ตี้กับคนอื่นก็มีโอกาสถูกโกงได้มาก ซึ่งเราก็จะเห็นเรื่องแบบนี้เต็มโซเซียล ที่จ่ายเงินเข้าบ้านใช้บริการไปแล้ว วันดีคืนดีโดนเตะออกจากบ้าน เรียกเงินคืนก็ไม่ได้ จะโวยวายกับเจ้าของบริการก็ไม่ได้ เพราะเราผิดเต็มประตูตั้งแต่ต้น หรือโดนเปลี่ยนรหัสผ่าน โดนล็อกต่าง ๆ นานา ซึ่งบางคนก็ต้องจ่ายเงินรวม ๆ หลังจากโดนโกง มากกว่าสมัครอย่างถูกต้องอีก

และที่สำคัญ การหารค่าสมาชิกกัน ก็ทำให้ผู้ผลิตเนื้อหาได้รายได้น้อยลงด้วย ซึ่งก็อาจส่งผลกับผู้ชมในอนาคต เช่นตอนนี้ Netflix ไม่ได้เปิดให้ผู้ใช้ชาวไทยทุกคนทดลองชม 1 เดือนฟรีเหมือนเมื่อก่อน เพราะมีคนเอาบัญชีทดลองใช้ไปหารายได้แบบน่าเกลียด จึงทำให้ Netflix ต้องเข้ามาจัดการเรื่องนี้เป็นพิเศษ
เพราะฉะนั้น ใช้บริการให้ตรงประเภท สมัครแบบ Family ก็ใช้กับคนในครอบครัว จะดีที่สุด

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส