ไม่เข้าไทยสักที! งั้นหิ้วมารีวิวเลยละกัน! มาดูกันครับว่า PlayStation 5 รอได้หรือของมันต้องมีเดี๋ยวนี้!
เริ่มมาก็ต้องว่ากันด้วยเรื่องของอุปกรณ์ที่มีมาให้เลยละกัน

อัปเกรดแรก นี่เลยครับตัวเครื่อง PlayStation 5 ตามสเปกที่บอกในเว็บไซต์ออฟฟิเชียลนี่คืออยู่ที่ 4.5 กิโลกรัม ก็นะ ส่วนความสูงจะอยู่ที่ราว ๆ 15 นิ้ว เอามาวางเทียบกับ PlayStation 4 Pro ก็ดูจะเป็นรุ่นที่สูงที่สุดที่ PlayStation เคยทำออกมา ถ้าวางแนวตั้งมันจะมีปัญหากับชั้นวางทีวีหลายดีไซน์ละ แต่ Sony เขาใจดี เพราะไอสแตนด์ที่เขาแถมมาให้เราเอามาปรับวางได้ทั้งแนวนอนและแนวตั้งก็ไปจัดสรรพื้นที่กันเอาเอง และก็อีกเรื่องที่ต้องระวังคือการตกหล่นหรือกระแทกแบบแรงไปจนถึงปานกลาง เพราะวัสดุภายนอกของเครื่องที่ใช้เป็นพลาสติกแบบ ABS

ถัดมาเป็นสายพาวเวอร์ อันนี้น่าจะมีคนอยากรู้ว่าเครื่องหิ้วส่งตรงจากญี่ปุ่นปลั๊กมันจะเป็นกี่ขา นี่ 2 ขานะครับ เอามาเสียบในบ้านเราได้เลย

ต่อมาเป็นสาย HDMI ที่ถ้ามองแบบผิวเผินมันก็สาย HDMI ทั่วไปแต่จริง ๆ แล้วนี่คือ “HDMI 2.1” ซึ่งความสามารถมันคือการรองรับเฟรมเรต 120 fps ผ่านความละเอียด 4K แต่ทั้งนี้ทีวีหรือมอนิเตอร์ก็ต้องแสดงผลในระดับที่บอกมาด้วยนะ

ส่วนสาย USB-A ไป USB-C ใช้กับจอยคอนโทรลเลอร์ DualSense หลังจากที่ตั้งชื่อจอยว่า DualShock แล้วตามหลังด้วยเลขมาตลอด 4 รุ่น พอกันทีมันจะไม่ใช่การสั่นแบบธรรมดาอีกต่อไป แต่มันจะเป็นการมอบประสบการด่ำดิ่งราวกับคุณสัมผัสทุกอย่างในเกมได้ด้วยตัวเอง ฟังดูเว่อร์ใช่ไหมครับ ผมยืนยันตรงนี้เลยนะว่า “ไม่เว่อร์แม้แต่นิดเดียว”

เรามาว่าถึงสิ่งสำคัญของ DualSense ที่เป็น Game Changer ของคอนโทรลเลอร์กันเลยก็คือความสามารถ Haptic Feedback ที่ให้ประสบการณ์การสั่นและเสียงที่ให้เรารู้สึก แยกแยะ และสัมผัสทิศทางการเคลื่อนไหวแบบเดียวกับที่ตัวละครในเกมได้รับ ซึ่งเกมที่ผมมองว่าสามารถอธิบายความสามารถนี้ให้เห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด ก็คือเกมลองเครื่อง Astro’s Playroom นี่แหล่ะ

ความสามารถถัดมาก็คือ Adaptive Trigger ที่จะว่าด้วยปุ่ม L2 R2 หรือเรียกแบบร่วมสมัยหน่อยก็ปุ่มทริกเกอร์ ตรงนี้จะให้ความรู้สึกถึงแรงต้านที่แตกต่างกันไปผ่านเกมต่าง ๆ ก็เป็นการเพิ่มอรรถรสในการเล่น โดยเฉพาะกับเกมแนว FPS อันนี้โคตรเดือด แต่จริง ๆ ก็ทดลองผ่านเกม Astro’s Playroom ได้เหมือนกัน อย่างในด่านนี้ตัวเกมจะให้เราจำลองการยิงธนู ซึ่งพอกดจะสัมผัสได้ถึงแรงต้าน เนี้ยสายธนูนี่ตึงเปี้ยะเลยตอนนี้

หรือจะยกตัวอย่างอีกเกมก็เป็น Spider-Man Mile Morales เวลาโหนใยเราจะรู้สึกได้ถึงแรงต้านเหมือน แต่เอาตรง ๆ นะ ผมว่าปิดไปก็ได้เกมนี้ เพราะส่วนตัวผมมองว่ามันทำให้เล่นลำบากขึ้นมากกว่ามอบประสบการณ์อิน ๆ ในตอนเล่นนะ

ในขณะที่ภาพรวมอื่น ๆ ของ DualSense ก็ส่งเสริมให้คอนโทรลเลอร์รุ่นนี้คือตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ไล่ตั้งแต่ดีไซน์ของจอยที่รองรับทุกส่วนของมือให้อยู่ในท่าทางการจับที่สบายไม่เกร็ง ซึ่งตัวนำเด่นเลยคือบริเวณ Grip ที่มีความเรียวและยาวขึ้น นอกจากนี้เท็กเจอร์ (Texture) ยังมีความหยาบ ให้สัมผัสและความรู้สึกว่าตัวจอยจะไม่ลื่นหล่นออกจากมือง่าย ๆ แถมถ้าซูมใกล้ ๆ จะเห็นว่าเป็นสัญลักษณ์ วงกลม สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม กากบาท ด้วยนะ!

ขนาดแบตเตอรี่ของ DualSense ที่ให้มา 1,500 mAh ในขณะที่รุ่น DualShock 4 ให้มาเพียง 1,000 mAh ส่งผลให้อายุการใช้งานต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งจะได้ที่ราว ๆ 10 – 13 ชั่วโมง มากพอจะเล่นเกมจนอิ่มเอมใจในหนึ่งวัน

ทั้งนี้ตัวเครื่องยังเปลี่ยนมาใช้เป็นพอร์ต Type-C ซึ่งก็หาสายชาร์จอุปกรณ์ในชีวิตประจำวันมาใช้งานได้ง่ายกว่าเดิม อีกทั้งยังชาร์จไฟเร็วกว่าเดิมด้วย

และหากคุณไม่มีหูฟังติดไมค์ หรือไม่ชอบการที่จะต้องมาสวมใส่หูฟัง ตัวคอนโทรลเลอร์ก็มีไมโครโฟนบิลท์อินมาให้ ซึ่งใช้งานได้ระดับหนึ่งแหล่ะ แต่ก็ต้องบอกตรง ๆ ว่ายังไงก้สู้ไมค์แยกไม่ได้อยู่ดีรูแจค 3.5 เลยยังมีให้ได้ใช้งานเช่นเดิม

และแล้วเราก็มาว่ากันถึง “ความเทพของตัวเครื่อง PlayStation 5 กันบ้าง” ผมขออนุญาตไม่พูดถึงสเปกของฮาร์ดแวร์ภายทั้งหมดโดยละเอียดนะครับ แต่จะขออธิบายแบบนี้ว่าฮาร์ดแวร์ส่วนใหญ่ข้างในจะถูกปรับแต่งมาใช้เฉพาะกับ PlayStation 5 เลยทำให้สามารถรันภาพในระดับ 4K และทำเฟรมเรตได้สูงสุดที่ 120 fps ซึ่งก็รวมไปถึง “SSD” ที่เร็วมาก เร็วขนาดไหน!? ชนิดที่ว่าความสามารถอ่านข้อมูลได้เร็วถึง “5.5GB/วินาที” “ส่งผลให้การโหลดเข้าตัวเกมจะกินเวลาหลักวินาที”

อีกเรื่องที่ผมชอบมาก ๆ คืออินเตอร์เฟซการใช้งานที่ดูสะอาดตามากขึ้นไม่รกรุงรังเหมือนบน PlayStation 4 อีกแล้ว แถมยังมีการแบ่งหมวดหมู่ระหว่างเกมและสื่อชัดเจนไม่มากระจุกรวมกันเป็นแถวยาวเหมือนแต่ก่อน แถมการเข้าถึง PS Store กับ PS Plus ก็เร็วกว่าเดิมแบบเห็นได้ชัด

และสำหรับใครที่สงสัยว่าเฮ้ยไอแถบ Notification แจ้งเตือนเพื่อนคนไหนออน เราโหลดอะไรอยู่ หรือแบตจอยเหลือกี่เปอร์เซ็นต์มันหายไปไหน อินเตอร์เฟซของ PlayStation 5 ได้ทำการซ่อนมันไว้ซึ่งถ้าอยากจะเห็นการแจ้งเตือนต่าง ๆ ก็แค่กดปุ่ม PS ขึ้นมา

ส่วนเรื่องนี้ผมแถมให้ เพราะค่อนข้างน่าแปลกใจว่าทำไมตอนเปิดเครื่องครั้งแรกก็ให้เลือกใช้ภาษาไทยเป็นภาษาตัวเครื่องมาให้ตั้งแต่แรกโดยไม่ต้องกดอัปเดตอะไร

และถึงแม้ในตอนนี้เกมที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟของ PlayStation 5 จะมีเพียงแค่ Demon’s Soul หนึ่งเดียวเท่านั้น แต่เอาจริง ๆ ผมว่าจุดที่ทำให้ใครหลายคนต้องการจะเป็นเจ้าของ PlayStation 5 ตอนนี้ “คือความสามารถ Backward Compatibility หรือการเล่นเกมของ PlayStation 4 ทั้งหมดได้ในเวอร์ชันที่ถูกอัปเกรดขึ้น” ซึ่งมันก็ไม่ใช่การอัปเกรดมาให้แบบไก่กานะทุกคน แต่มันทำให้ประสบการในบางเกมเปลี่ยนไปเลย

ยกตัวอย่างเกมที่ผมว่าเห็นชัดเจนเลยนะ คือ Last Guardian ใครจำได้บ้างว่าตอนเล่นกันบน PlayStation 4 เฟรมร่วงกันขนาดไหน แต่พอเล่นบน PlayStation 5 เท่านั้นแหล่ะ เฟรมเรตคือทำได้สูงสุดอยู่ที่ 60 fps บนภาพ แต่วงเล็บไว้หน่อยว่าต้องเล่นผ่านแผ่น ถ้าเล่นแบบดิจิทัลดาวน์โหลดจะลอคเฟรมนิ่ง ๆ ที่ 30 fps

Spider-Man: Mile Morales อันนี้ก็ชัด คือนอกจากจะโหลดเร็วแล้ว ยังเป็นเกมที่พิเศษกว่าเช้าบ้านเขาตรงที่ไม่ต้องใส่แผ่นก็ปรับภาพความละเอียด 4K ที่รันแบบ 60 fps ได้ และยังรันเทคโนโลยีสะท้อนเงาเสมือนจริงแบบ Ray Tracing ได้อีก!

หรือจะ Days Gone ที่บน PlayStation 5 ถูกอัปเกรดให้เล่นได้บน 4K แบบ 60 fps เช่นเดียวกัน! คราวนี้ละหนีพวกฟรีกเกอร์มันส์กว่าเดิมแน่นอนขอบอก!

ข้อสังเกต

ข้อสังเกตแรกของ PlayStation 5 โมเดลแรกนี้ หลายคนน่าจะคิดเหมือนกันกับผมคือเรื่องของ “ความจุตัวเครื่อง” บนกล่องระบุไว้ว่า 825 GB แต่พอเปิดเครื่องแล้วเข้าไปเช็คจริงมีแค่ 667 GB เท่านั้นครับ ที่หายไป 100 กว่า ๆ เอาไปลงกับระบบปฎิบัติการณ์และเฟิร์มแวร์สำคัญของเครื่องหมดครับ ซึ่งความจุที่เหลือเท่านี้ลงเกมเจนนี้ไม่กี่เกมก็เต็มแล้ว Call of Duty Warzone เงี้ย 200 GB, NBA 2k21 เงี้ย 90 กว่า GB แต่ยังถือว่าโชคดีที่ Sony ใจดีจะให้เรานำ SSD มาติดตั้งในเครื่องเองได้ในอนาคต ซึ่งก็ต้องรอติดตามข้อมูลกันกันต่อไปว่าสเปกของ SSD แบบไหนที่เราสามารถนำมาใส่ได้ ตอนนี้อย่าเพิ่งไปแงะมั่วนะ เจ๊งขึ้นมาไม่รู้นะ!

โดยรวม PlayStation 5 คือเครื่องคอนโซลรุ่นล่าสุดที่ผมว่ามันยอดเยี่ยมมาก ด้วยขุมพลังของ SSD ที่ทำให้การเล่นเกมลื่นไหลอย่างเห็นได้ชัด, DualSense ที่ปฎิวัติวงการคอนโทรลเลอร์, และแม้ตอนนี้จะยังไม่มีเกมของ PS5 โดยตรงออกมาเยอะสักเท่าไหร่ แต่ไอความสามารถ Backward Compatibility ที่ไม่ใช่แค่การเล่นเกมเก่าได้ แต่เป็นการเล่นได้ในประสบการณ์ที่ดีขึ้น

ถ้าเหตุผลทั้งหมดนี้มันตอบโจทย์คุณ ผมแนะนำให้ซื้อมาเถอะครับ และถ้าจะให้ดีรอซื้อตอนเข้าไทยดีกว่านะ นี่ที่ผมหิ้วมาเพราะรักทุกคนนะเฮ้ยเลยลงทุน!