OPPO Find X3 Pro 5G มือถือเรือธงที่ออปโป้เปิดตัวแรง ๆ ด้วยคำว่า Awaken Colour หรือปลุกพลังแห่งสีสันให้เฉิดฉาย ด้วยการทำงานแบบ 1,000 ล้านเฉดสีทั้งกระบวนการ มันเป็นยังไง แล้วผลการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันดีแค่ไหน

OPPO ใช้คำว่า 10-bit Full-path Colour Engine กับเรื่องของ 1,000 ล้านสีใน OPPO Find X3 Pro 5G หมายความว่าทั้งกระบวนการตั้งแต่การถ่ายรูป/ถ่ายวิดีโอ การจัดเก็บไฟล์ ไปจนถึงการแสดงผลผ่านหน้าจอนี้ ก็แสดงได้ 1,000 ล้านเฉดสีทั้งหมด ซึ่งปกติแล้วมาตรฐานที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันจะเป็นสี 8-bit หรือ 16.7 ล้านสี ซึ่งใช้กันมายาวนานหลายสิบปีแล้ว พออัปเกรดเป็นระดับ 1,000 ล้านสี ก็ทำให้การไล่โทนสีต่าง ๆ ทำได้ละเอียดขึ้น สามารถเอาไปปรับแต่งต่อในภายหลังได้ง่ายขึ้น

ระบบเลนส์ของ OPPO Find X3 Pro 5G

  • ตัวบนสุด 50 ล้านพิกเซล Ultra Wide Angle f/2.2 มุมภาพ 110 องศา สามารถใช้ถ่ายภาพมาโครแบบที่มีระยะห่างได้ด้วย
  • ตัวใหญ่ล่างสุด 50 ล้านพิกเซล เลนส์หลัก Wide Angle f/1.8 OIS

ทั้ง 2 เลนส์นี้ใช้เซนเซอร์ Sony IMX766 ที่ร่วมพัฒนากับ OPPO เพื่อให้ได้ภาพคุณภาพดีที่สุดทั้งเลนส์มุมกว้างมาก และเลนส์หลัก ซึ่งเป็นครั้งแรกของมือถือที่ใช้เซนเซอร์เกรดท็อปกับเลนส์ 2 ตัว ทำให้เลนส์ 2 ตัวนี้ให้คุณภาพภาพสูงสุด และสามารถถ่ายภาพ 10-bit ได้ด้วย

  • เลนส์ทางซ้ายตัวนี้ เป็นเลนส์มาโครระยะประชิด จ่อวัตถุแทบติดเลนส์ที่ออปโป้เรียกว่า Microlens ความละเอียด 3 ล้านพิกเซล f/3.0 พร้อม Ring Flash ซึ่งน่าจะเป็นมือถือรุ่นแรกในโลกที่เอาแฟลชมาล้อมรอบเลนส์แบบนี้
  • สุดท้ายคือเลนส์ตัวเล็ก เป็นเลนส์ซูม 2 เท่า สามารถซูมแบบ Hybrid ได้ที่ 5 เท่า 13 ล้านพิกเซล f/2.4

โหมดการถ่ายภาพ

ซึ่งการถ่ายภาพ 1,000 ล้านสีนี้ ระบบจะบันทึกภาพเป็นสกุล HEIC (High-Efficiency Image Container) ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีบีบอัดวิดีโอ h.265 มาใช้กับการบีบอัดภาพ และสามารถเก็บข้อมูลภาพแบบ 10-bit ได้ครับ ซึ่งถ้าเทียบภาพคุณภาพเท่ากัน ไฟล์ HEIC จะมีขนาดเล็กกว่า JPEG เกือบครึ่งเลยทีเดียว และเพื่อเป็นการพิสูจน์เราเอาไฟล์ HEIC นี้ไปส่องดูด้วยโปรแกรม Preview ของแมค ก็จะเห็นว่าเก็บข้อมูลในรูปแบบ 10-bit จริง

ภาพจาก OPPO Find X3 Pro 5G นั้นออกมาดูดีสมเป็นมือถือเรือธง ให้สีสันอิ่มแน่น ระบบ AI Scene Enhancement ช่วยปรับแต่งภาพอัตโนมัติ ทำให้ภาพจากกล้องหลักและกล้องมุมกว้างออกมาสวยงามในทุกสภาพแสง การถ่ายภาพในพื้นที่แสงน้อยก็ให้ความสว่างของภาพที่กำลังดี เก็บรายละเอียดในภาพออกมาได้ดี แล้วก็ยังมี Night Mode เพื่อช่วยถ่ายภาพยามค่ำคืนให้สว่างขึ้นอย่างน่าพอใจ

ส่วนการถ่ายภาพด้วยโหมด Portrait ก็สามารถถ่ายภาพบุคคลได้สวยงามดี ให้สีผิวและการเบลอฉากหลังก็ทำได้ดีครับ ซึ่งสามารถเลือกถ่ายได้ทั้งแบบ 1x และ 2x จะถ่ายเต็มตัวหรือครึ่งตัวก็ทำได้ง่าย ๆ

ส่วนระยะซูมของ OPPO Find X3 Pro 5G นั้นเริ่มที่เลนส์มุมกว้างมาก 0.6 เท่า ซึ่งอย่างที่เราเล่าไปว่าใช้เซนเซอร์ตัวเดียวกับเลนส์หลัก ก็ทำให้ได้คุณภาพภาพที่ดีมาก คุณภาพไม่ดรอปเหมือนกล้องมุมกว้างมากของมือถือรุ่นอื่น ๆ ส่วนการซูมภาพจะเริ่มที่ 2 เท่า ซึ่งก็ให้ภาพที่ชัดเจน และการซูม 5 เท่าแบบ Hybrid ที่เลนส์ Telephoto ตัวเล็กด้านหลังจะทำงานร่วมกับเลนส์หลัก ก็ยังให้ภาพที่ชัดเจนดีอยู่ แต่การซูมที่ระยะหลังจากนี้ที่ 10 เท่าหรือ 20 เท่า จะให้ภาพเบลอหน่อยแบบ Digital Zoom ซึ่งก็เป็นข้อจำกัดมือถือรุ่นนี้ที่ไม่มีเลนส์ซูมแบบ Periscope

ที่น่าสังเกตคือมือถือเครื่องนี้มีระบบถ่ายภาพมาโคร 2 แบบ แบบแรก ภาพไมโครระยะใกล้ที่กล้องจะสลับจากเลนส์หลักไปเลนส์มุมกว้างมากอัตโนมัติเวลาที่เราเคลื่อนกล้องเข้าใกล้วัตถุ ทำให้กล้องสามารถถ่ายวัตถุใกล้ ๆ ได้คมชัดกว่าการใช้เลนส์หลัก

อีกแบบคือเลนส์มาโครโดยเฉพาะที่มี Ring Flash ตัวนี้ เราสามารถเข้าเมนู More ของกล้องแล้วเลือก Microscope ซึ่งจะเห็นว่า Ring Flash ของกล้องทำงานขึ้นมาทันที ในโหมดนี้เราสามารถถ่ายภาพมาโครระยะประชิด วางกล้องห่างจากวัตถุไม่กี่มม. เท่านั้น ให้กำลังขยายสูงสุด 60 เท่าจากที่ตาปกติเรามองเห็น ซึ่ง Ring Flash ช่วยให้แสงสว่างทำให้การถ่ายภาพระยะประชิดขนาดนี้เป็นไปได้ ก็ให้ภาพที่ตื่นตาตื่นใจอย่างที่มือถือทั่วไปทำไม่ได้

ถ่ายผ้านี่เห็นเป็นเส้นใย ถ่ายน้ำโซดาก็เห็นฟองอากาศ เซียนพระเครื่องก็น่าจะส่องดูมวลสารได้เลย พร้อมฟิลเตอร์พิเศษเหมือนกล้องสะท้อน Kaleidoscope ที่ให้ภาพแปลกตา

แต่การถ่ายแบบ Microscope นี้จะต้องใจเย็นหน่อย และใช้ถ่ายแบบที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เพราะมีระยะชัดที่ตื้นมาก เคลื่อนนิดเดียวโฟกัสก็หลุดแล้ว

ในโหมดถ่ายภาพแบบ Expert ของ OPPO Find X3 Pro นั้น นอกจากที่เราจะสามารถควบคุมการทำงานของกล้องได้อย่างละเอียดแล้ว เรายังสามารถถ่าย RAW ได้ทั้งแบบธรรมดาที่จะถ่าย RAW พร้อมภาพธรรมดาออกมา และแบบ RAW+ ที่ถ่ายไฟล์ RAW อย่างเดียว แต่จะเก็บรายละเอียดมากกว่า เก็บช่วงแสงเยอะกว่า ซึ่งเราก็สามารถเอามาตกแต่งต่อได้ในแอปอย่าง Snapseed หรือโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ก็ได้ ซึ่งก็ตกแต่งได้อีกเยอะ นักแต่งภาพน่าจะชอบกันเลยแหละ

ภาพ 10-bit 1,000 ล้านเฉดสีของ OPPO นั้นน่าประทับใจตรงที่เรายังสามารถใช้งานมันได้เหมือนภาพปกติ ไม่ว่าจะแชร์เฟซบุ๊กหรือส่ง LINE ก็ยังให้ภาพที่สวยคมชัด สีสันดีใกล้เคียงเดิม โดยที่ไม่ต้องแปลงเองให้ยุ่งยาก แถมเรายังได้ไฟล์ต้นฉบับ 10-bit รายละเอียดสูงเก็บไว้

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเลย เทสต์มาเจอปัญหาอยู่ 2 เรื่องคือ Google Photos จะเหมือนว่า Backup ภาพขึ้นไปเก็บได้ แต่เอาเข้าจริง ถ้าเราเปิด Google Photos จากในคอมหรือในมือถือเครื่องอื่น มันจะอ่านไฟล์ 10-bit ที่แบ็กอัปไม่ได้ แต่ปัญหานี้เราไม่เจอในระบบการแบ็กอัปรูปผ่าน NAS ของ Synology

อีกเรื่องคือไฟล์ภาพ HEIC นั้นเปิดในบางอุปกรณ์ไม่ได้ ถ้าเป็นเครื่องแมค อันนี้ไม่มีปัญหา เปิดและแก้ไขได้ทันที แต่ถ้าเป็น Windows ในบางเครื่องอาจต้องซื้อส่วนเสริมจากไมโครซอฟต์อีก 34 บาท เพื่ออ่านไฟล์ชนิดนี้ได้

การถ่ายวีดีโอ

จบเรื่องภาพนิ่งแบบ 10-bit ไปแล้ว การถ่ายวิดีโอด้วย OPPO Find X3 Pro 5G ก็ไม่ธรรมดาครับ เราสามารถเข้าไปที่เมนู More แล้วเลือก Movie เพื่อถ่ายวิดีโอใน Cinematic Mode ที่สามารถปรับแต่งการถ่ายวิดีโอได้ละเอียดมาก ทั้งการปรับ ISO ความเร็วชัตเตอร์หรือ White Balance พร้อมถ่ายวิดีโอ 4K ในสัดส่วน 2.35:1 ที่ให้ภาพยาวเป็นพิเศษเหมือนภาพยนตร์ด้วย

แต่ทีเด็ดของโหมดนี้คือเราสามารถถ่ายวิดีโอออกมาในรูปแบบ HDR แบบ HLG (Hybrid Log Gamma) ได้เลย เพื่อบันทึกรายละเอียดของสีของแสงระดับ 1,000 ล้านสี พร้อมใช้ขอบเขตสีระดับ BT.2020 ซึ่งถ้าเอาวิดีโอนี้ไปเปิดในคอมพิวเตอร์ที่รองรับ HDR หรืออัปโหลดขึ้น Youtube ก็จะเห็นเป็นวิดีโอ HDR ชัดเจน

และใครที่เป็นเซียนตัดต่อวิดีโอ น่าจะชอบการถ่ายวิดีโอในแบบ LOG ที่สีสันของวิดีโอจะซีดลง เก็บรายละเอียดและแต่งสีได้มากขึ้นในภายหลัง ซึ่งปลดล็อกความต้องการของผู้สร้างวิดีโอที่อยากได้วิดีโอสีสันอย่างที่ต้องการ ก็ถ่ายแบบ LOG แล้วไปแก้เองละเอียด ๆ ได้เลย

ส่วนการถ่ายวิดีโอในโหมดปกติก็สามารถเปิด AI Highlight Video เพื่อช่วยการถ่ายวิดีโอในที่แสงน้อย หรือช่วยถ่ายวิดีโอให้เก็บแสงครบ ๆ แบบ HDR ได้ในรูปแบบไฟล์ SDR ปกติให้แชร์ได้ง่าย ๆ เพียงแต่ว่าโหมด AI นี้จะถ่ายได้แค่ Full HD เท่านั้น

แต่มีข้อสังเกตนิดหนึ่งสำหรับการถ่าย HDR จาก OPPO Find X3 Pro คือการเปิดไฟล์ที่ถ่ายมาผ่านแอป Photos ในเครื่องจะแสดงสีที่จืดไปหน่อย ก็ต้องรอ OPPO แก้ในจุดนี้ และไฟล์ที่ได้นั้นไม่เหมาะสำหรับการส่งผ่านไลน์หรืออัปขึ้น Facebook โดยตรง เพราะ 2 ระบบนี้ไม่รองรับวิดีโอ HDR แต่ถ้าอัปขึ้น Youtube ผ่านแอป แบบนี้จะได้วิดีโอที่สวยพร้อมแชร์ให้คนอื่นดูได้

ส่วนกล้องหน้าเจาะรูตัวนี้ มีความละเอียด 32 ล้านพิกเซล f/2.4 ครับ ก็ให้ภาพ Selfies ออกมาสวยเลย ถ่าย Portrait เบลอฉากหลังก็สวย

หน้าจอ

จบเรื่อง 1,000 ล้านเฉดสีของกล้องไปแล้ว แต่เรายังไม่จบเรื่อง 10-bit Full-path Colour Engine กันเลยครับ มาเจาะลึกเรื่องจอขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด QHD+ ให้ความสว่างสูงสุดถึง 1300 nit สู้แสงแดดได้สบาย ๆ พร้อมให้สีสันสมจริง ที่สำคัญคือ Adaptive Rate 120 Hz ครับ เคลื่อนไหวนุ่มนวล

ซึ่งจอนี้ DisplayMate ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเทสต์จอแสดงผลให้คะแนนระดับ A+ คือเป็นจอที่ให้คุณภาพภาพสูงมาก มีความคลาดเคลื่อนของสีแค่ 0.4 JNCD รองรับขอบเขตสี DCI-P3 แบบ 100% เต็ม รองรับการแสดง 1,000 ล้านเฉดสีได้ครบ ๆ จะเปิด Youtube หรือ Netflix ก็รองรับ HDR ได้ทั้งหมด

นอกจากนี้ยังมี O1 Ultra Vision Engine เพื่อช่วยปรับให้วิดีโอคมชัดขึ้น หรือช่วยปรับสีของวิดีโอจาก SDR ให้เป็น HDR ได้ด้วย ใช้ความสามารถของจอได้เต็ม ๆ

สุดท้ายคือความใส่ใจจากออปโป้ด้วยระบบช่วยเหลือคนที่มีปัญหาเรื่องการมองเห็นสี ให้เห็นสีในจอใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น เพียงเข้าเมนู Colour Vision Enhancement ใน Settings แล้วเลือก Personalized และแตะสีสันที่เห็นไล่ไปเรื่อย ๆ ระบบก็จะรับรู้การมองเห็นของเรา และปรับสีในจอให้เหมาะสม

ดีไซน์

สิ่งที่ชอบใน OPPO Find X3 Pro 5G คือน้ำหนักแค่ 193 กรัม และหนา 8.26 mm ก็ถ้าเทียบกับ Find X2 Pro ผมเคยจับเมื่อปีที่แล้ว ที่หนักระดับ 200 กรัม ก็จับถือสบายกว่า

ส่วนดีไซน์ของฝาหลังนี้ออปโป้บอกว่าเป็นงานออกแบบจากโลกอนาคต เป็นดีไซน์อวกาศ เน้นความลื่นไหลของส่วนโค้งต่าง ๆ ก็จะเห็นได้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่จะแบนเรียบแล้วค่อย ๆ โค้งขึ้นไปรับส่วนของกล้อง ซึ่งกว่าจะได้ฝาหลังที่เส้นสายลื่นไหลแบบนี้ ออปโป้บอกกับเราว่ามีการยิงจุดควบคุมการผลิตกว่า 2000 จุดทั่วฝาหลังเพื่อควบคุมความโค้งในจุดต่าง ๆ ผ่านกระบวนการนับร้อยขั้น ใช้อุณหภูมิในการสร้างมากกว่า 700 องศา ใช้เวลาผลิตต่อชิ้น 40 ชั่วโมง กว่าจะออกมาเป็นฝาหลังนี้

โดย OPPO Find X3 Pro 5G สีที่รีวิวนี้คือ Gloss Black หรือดำเงา ที่ให้ 2 อารมณ์ ทั้งสีดำที่สง่างาม แต่ก็มีความเงาแบบกระจกที่สะท้อนความสว่างรอบตัวออกมา ส่วนอีกสีหนึ่งที่ผมเห็นคือ Blue หรือสีน้ำเงินแบบด้านผสมเงา ก็จะเป็นสีที่ติดรอยนิ้วมือยากหน่อย และอีกจุดที่น่าสนใจคือเคสที่แถมให้ในกล่อง ทำออกมาได้สวยงามน่าใช้เลยแหละ

พอร์ตการเชื่อมต่อ

ส่วนรอบเครื่องนั้นมีพอร์ต USB-C อยู่ด้านล่างเพียงพอร์ตเดียว แต่ลำโพงของ OPPO Find X3 Pro 5G นี้จัดว่าดีเลย เป็นลำโพงสเตอริโอพร้อมระบบเสียง Dolby Atmos ที่เปิดเพลงได้ดัง และมีมิติกว่าลำโพงของสมาร์ตโฟนทั่วไป เปิดหนังดูในเครื่อง ไม่ต้องต่อลำโพงแยกก็ให้ประสบการณ์ที่ดีอยู่

แบตเตอรี

สมาร์ตโฟนรุ่นนี้มีแบตเตอรี่มาให้ 4500 mAh เราทดสอบการใช้งานจริง ก็อยู่ได้ครบจบวันแบบไม่ต้องลุ้น เพราะหน้าจอ 120 Hz สามารถปรับ Refresh Rate อัตโนมัติให้เหมาะสมสำหรับการทำงานได้ และสามารถชาร์จเร็วผ่าน 65W SuperVOOC 2.0 ได้ 40% ใน 10 นาทีแค่นั้น หรือจะชาร์จไร้สายผ่านแท่นชาร์จ 30W AirVOOC Wireless Flash Charge ตัวนี้ก็สามารถชาร์จแบตจนเต็มใน 80 นาทีเท่านั้น

สเปก

แน่นอนว่าเป็นมือถือเรือธง สเปกเครื่องก็ต้องจัดมาเต็มด้วยชิปตัวท็อปของพ.ศ. นี้อย่าง Qualcomm Snapdragon 888 มาพร้อม RAM 12 GB และหน่วยความจำ 256 GB ซึ่งทดสอบ Geekbench 5 แบบ Multicore ได้คะแนนไป 3336 คะแนน ซึ่งเร็วกว่า Snapdragon 865 ประมาณ 100 คะแนน ส่วนการทดสอบประสิทธิภาพกราฟิกด้วย 3Dmark ชุด Wild Life Stress Test ที่ทดสอบประสิทธิภาพต่อเนื่องนาน 20 รอบ 20 นาที ก็ให้คะแนนสูงสุดที่ 5687 คะแนนใน 3 รอบแรก ซึ่งก็เป็นคะแนนระดับเดียวกับชิป Snapdragon 888 อื่นๆ ก่อนที่คะแนนจะร่วงลงไปอยู่ที่ราว 4000 คะแนน ซึ่งความร้อนหลังจากเทสต์ 20 นาทีเสร็จก็ขึ้นมาดังรูปนี้ครับ อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นราวๆ 10 องศา โดยจะอุ่นขึ้นบริเวณข้าง ๆ กล้อง ส่วนการเทสต์กับเกม Genshin Impact ที่ปรับภาพสูงสุดพร้อมเปิด 60 fps ก็ให้ภาพที่ลื่นไหลดี

จุดสังเกต

คือเราคิดถึงฟังก์ชัน MEMC (Motion Estimation, Motion Compensation) หรือความสามารถแทรกเฟรมให้ภาพวิดีโอเคลื่อนไหวนุ่มนวลขึ้น เปลี่ยนวิดีโอ 30 fps ให้กลายเป็น 60 fps ได้เลย ซึ่งเป็นจุดเด่นของ OPPO Find X2 Series แต่ใน Find X3 Pro 5G ดันไม่มีฟังก์ชันนี้ ซึ่งออปโป้อธิบายว่าปัจจุบันคลิปส่วนใหญ่ก็เป็น 60 fps กันหมดแล้ว ฟังก์ชันนี้จึงมีความสำคัญน้อยลง แถมความสามารถนี้ยังกินแบตด้วย จึงตัดออก

รีวิวที่ดีต้องมีราคา

สำหรับ OPPO Find X3 Pro 5G นั้นมีราคาเปิดตัวในไทยที่ 33,990 บาท สามารถ Pre-order ได้ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม – 2 เมษายน โดยจะได้รับขอสมนาคุณ OPPO Find X3 Pro 5G Premium Card มูลค่า 10,000 บาท / OPPO AirVOOC Wireless Charger 45W มูลค่า 2,499 บาท / KEVLAR Case มูลค่า 999 บาท มูลค่ารวม 13,498 บาท

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส