HUAWEI เป็นแบรนด์ที่จริงจังเรื่องเสียงมากนะครับ มีการพัฒนาหูฟังและลำโพงออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแบไต๋เราก็ได้รีวิวผ่านมือมาแล้วหลายรุ่น และมันก็ดีขึ้นทุกรุ่นจริง ๆ และนี่คือ HUAWEI FreeBuds 4 หูฟังแบบ True Wireless ระดับกลางรุ่นล่าสุดที่เราจะแบไต๋กันในวันนี้

เสียง

มาเรื่องสำคัญอย่างเสียงกันก่อน HUAWEI FreeBuds 4 ใช้ Dynamic Driver ขนาดใหญ่ 14.3 mm พร้อมใช้ Bluetooth 5.2 ซึ่งรองรับ SBC และ AAC Codec ทำให้ใช้งานได้ดีทั้ง Android และอุปกรณ์แอปเปิ้ล

จริง ๆ แล้วตัวไดร์เวอร์นี้รองรับความถี่เสียงสูงถึง 40,000 Hz หรือเสียงระดับ Hi-Res เพียงแต่ว่าหูฟังไม่ได้รองรับ Codec ระดับ Hi-Res อย่าง aptX HD หรือ LDAC ทำให้ไม่นับหูฟังตัวนี้ว่าเป็นระดับ Hi-Res ครับ ต้องเข้าใจว่า HUAWEI FreeBuds 4 นั้นเป็นหูฟังแบบ Earbuds เพราะฉะนั้นความหนักแน่นของเบสและการตัดเสียงรบกวนจะสู้หูฟังแบบ In-ear ไม่ได้ เพราะดีไซน์มาตอบสนองความต้องการคนละแบบกัน

เสียงของ HUAWEI FreeBuds 4 จะมาในแนวโปร่งกว้าง ให้เสียงกลาง-แหลมได้ชัดเจน แยกทิศทางของเครื่องดนตรีได้ชัดเจน แต่เนื้อเสียงค่อนข้างบาง เบสมีเยอะกว่า FreeBuds 3 รุ่นที่แล้ว แต่ยังถือว่าเป็นเบสที่จางกว่าแบบ in-ear อยู่ดี เราแนะนำให้ลองปรับตำแหน่งของหูฟังให้ท่อเสียงตรงกับรูหูมากที่สุดเพื่อให้ได้คุณภาพเสียงดีที่สุดครับ

ส่วนระบบตัดเสียงรบกวน Open-fit ANC 2.0 ของหัวเว่ยถือว่าทำได้ดีจนน่าทึ่งสำหรับหูฟังทรง Earbuds ที่ปกติดีไซน์ของมันก็แทบไม่มีตัวบล็อกเสียงภายนอกเลย แต่ HUAWEI FreeBuds 4 สามารถส่งคลื่นเสียงออกมาหักล้างเสียงรบกวนภายนอกได้ในระดับ 25 dB จึงรู้สึกว่าเสียงรอบตัวเงียบลงชัดเจน ก็ทำให้ฟังเพลงมีความสุขขึ้นครับ แต่ว่าอย่าเอาไปสู้กับระบบตัดเสียงรบกวนของหูฟังแบบ in-ear นะครับ มันใช้งานคนละแบบกัน

เรื่องเสียงดีเลย์ก็สำคัญ เราเล่นวิดีโอจาก Youtube และ Netflix ผ่าน HUAWEI FreeBuds 4 ไม่พบว่ามีเสียงดีเลย์ครับ เสียงพูดตรงปากทั้งหมด ส่วนการเล่นเกม หัวเว่ยแจ้งว่าหูฟังรุ่นนี้รองรับ Low Latency Gaming Mode ช่วยให้มีความหน่วงของเสียงในเกมต่ำกว่า 150 ms ซึ่งเราลองเล่นเกม Doodle Jump 2 ก็พบว่าเสียงเหยียบแท่นออกตรงจังหวะที่เหยียบแท่นดี

ส่วนเมื่อทดสอบกับแอปวัดเสียงดีเลย์พบว่าเสียงดีเลย์อยู่ประมาณ 220 ms ซึ่งก็เป็นค่าที่ดีกว่าหูฟัง True Wireless ทั่วไปที่อาจดีเลย์ได้มากกว่า 300 ms ครับ

ดีไซน์

หัวเว่ยไม่ทิ้งดีไซน์เอกลักษณ์จาก HUAWEI FreeBuds 3 ตั้งแต่เคสชาร์จวงกลมแบน ๆ ที่แตกต่างจากหูฟังรุ่นอื่นในท้องตลาดแบบนี้ แต่ดีไซน์ใหม่ให้มีขนาดเล็กลง 12.1% และเบาลง 20.8% ครับ ก็ทำให้พกพาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้นไปอีก

ตัวหูฟังก็ยังเป็นแบบ Openfit เช่นเคยซึ่งเป็นหูฟัง True Wireless ไม่กี่รุ่นในตลาดที่เป็นทรง Earbuds วางไว้หน้ารูหูไม่ใช่แบบจุก In-ear เสียบเข้าไปในรูหูนะครับ ใครที่ไม่ชอบหูฟังแบบยัดเข้าไปในรูหูก็มี HUAWEI FreeBuds 4 นี่แหละเป็นตัวเลือกทีดี แล้วหูฟังมีน้ำหนักแค่ 4.1 กรัมต่อหนึ่งข้าง ใส่นาน ๆ ก็ไม่เจ็บหู แต่ดีไซน์ก้านยาวแบบนี้อาจต้องระวังนิดหนึ่งเวลาใส่ร่วมกับหน้ากากอนามัย เพราะก้านอาจเกี่ยวกับสายหน้ากากจนหลุดจากหูได้

ซึ่ง HUAWEI FreeBuds 4 มีให้เลือก 2 สีคือสีเทา Silver Frost แบบนี้ และสีขาว Ceramic White ซึ่งเป็นสีขาวทั้งเคสและหูฟัง ก็เลือกได้ตามชอบใจครับ

การใช้งานหูฟัง

HUAWEI FreeBuds 4 ถือเป็นหูฟังที่มีระบบเชื่อมต่อยุคใหม่ แค่เปิดฝาเคสหูฟังก็เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทันที ทำให้พร้อมใช้งานได้เร็วมาก ส่วนถ้าจะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใหม่ก็แค่เปิดฝาเคสโดยที่ยังมีหูฟังอยู่ในเคส แล้วกดปุ่มที่เคสค้างไว้จนไฟกระพริบ เข้าหน้า Bluetooth ในมือถือหรือคอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมต่อได้ทันที

และความสามารถพิเศษของ HUAWEI FreeBuds 4 ที่หายากมากในกลุ่มหูฟังแบบ True Wireless คือ Multipoint ครับ ที่หูฟังสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้พร้อมกัน 2 ตัว เราสามารถใช้ HUAWEI FreeBuds 4 ต่อกับคอมพิวเตอร์และมือถือพร้อมกันก็ได้ เช่นเราฟังเพลงจากคอมอยู่ แล้วโทรศัพท์เข้า ก็สลับไปคุยโทรศัพท์ได้ทันทีโดยไม่ต้องเชื่อมหูฟังเข้ากับโทรศัพท์ใหม่ครับ เน้นยํ้าเลยครับว่า ฟังก์ชันนี้ไม่จำกัดค่ายด้วย ส่วนการสั่งงานหูฟังใช้การสัมผัสที่ก้านหูฟังครับ ก็ใช้ 2 นิ้วจับก้านแล้วแตะแบบนี้จะถนัดขึ้น

  • แตะ 2 ครั้งที่หูฟังข้างขวาเพื่อเล่น/หยุดเพลง
  • แตะ 2 ครั้งที่หูฟังข้างซ้ายเพื่อเปลี่ยนเพลง
  • แตะ 2 ครั้งข้างไหนก็ได้ก็รับสาย/วางสาย
  • แตะค้างเพื่อเปลี่ยนโหมดตัดเสียงรบกวน
  • ลากขึ้น-ลงที่ก้านเพื่อปรับระดับเสียง
  • แล้วเวลาถอดหูฟังออกจากหู เพลงก็จะหยุดให้เองด้วย

นอกจากนี้เรายังสามารถใช้แอป HUAWEI AI Life เพื่อปรับแต่งการทำงานของหูฟังได้ ทั้งเลือกคำสั่งการแตะหูฟังในแบบต่าง ๆ ปรับโหมดการตัดเสียงรบกวน, ปรับลักษณะเสียง, เลือกโหมดไมค์แบบ HD แอปนี้สามารถดาวน์โหลดได้ทั้ง Android และ iOS คนใช้ iPhone ก็ปรับแต่งหูฟังหัวเว่ยได้ ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

แต่ผู้ใช้สมาร์ตโฟนจากหัวเว่ยจะเหนือกว่าผู้ใช้มือถือแบรนด์อื่นๆ นิดหนึ่งตรงที่มีหน้าต่างแสดงปริมาณแบตเตอรี่เด้งขึ้นมาด้วย และสามารถปรับแต่งหูฟังได้จากหน้า bluetooth เลย โดยที่ไม่ต้องลงแอป AI Life ก็ได้ครับ
นี่เป็นเสียงพูดที่อัดจาก HUAWEI FreeBuds 4 โดยตรงนะครับ เสียงที่บันทึกจัดว่าดีมาก เพราะที่หูฟังแต่ละข้างมีไมโครโฟนอยู่ข้างละ 3 ตัว โดย 2 ใน 3 ตัวนั้นมาพร้อมกับระบบตัดเสียงรบกวน สามารถรับเสียงพูดและตัดเสียงรบกวนภายนอกได้ดี ซึ่งเราก็ใช้ไมโครโฟนนี้คุยโทรศัพท์หลายครั้ง ก็ไม่มีปัญหาว่าปลายสายได้ยินเสียงไม่ชัดจนต้องขอให้พูดใหม่เลย

และสำหรับสมาร์ตโฟนหัวเว่ยที่รองรับ ก็สามารถบันทึกเสียง หรืออัดวิดีโอพร้อมอัดเสียงได้จากไมค์ของ FreeBuds 4 ที่ความละเอียด 48,000 Hz ซึ่งเป็นความละเอียดเสียงที่สูงกว่าที่บันทึกใน CD เพลง และสามารถเลือกได้ด้วยว่าจะเน้นแต่เสียงพูดหรือเอาเสียงรอบข้างมาด้วย แต่สำหรับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ไม่รองรับ ก็ต้องอาศัยแอปพิเศษเพื่อบันทึกเสียงจากหูฟังนะครับ

อายุแบตเตอรี่

หัวเว่ยเคลมว่า FreeBuds 4 สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 4 ชั่วโมง และใช้ร่วมกับเคสชาร์จจะใช้ได้ 22 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้งเมื่อปิดโหมดตัดเสียงรบกวนภายนอกครับ ส่วนถ้าเปิด ANC จะใช้งานต่อเนื่องได้ 2.5 ชั่วโมง และ 14 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคสชาร์จ ก็ถือว่าใช้งานต่อเนื่องได้สั้นไปนิดหนึ่งครับ

เราสามารถชาร์จได้ 2 รูปแบบคือใช้พอร์ต USB-C ตรงท้ายเคส ชาร์จ 15 นาทีก็ใช้งานได้ 2.5 ชั่วโมงแล้ว หรือจะวางบนแท่นชาร์จไร้สายก็ชาร์จได้เหมือนกันครับ

สรุปแล้ว HUAWEI FreeBuds 4 เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหูฟัง True Wireless ฟังเพลงชิว ๆ ที่ใส่สบาย โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบหูฟังแบบ In-ear และเหมาะกับคนที่ต้องการหูฟังที่มีไมค์ดี ๆ ใช้คุยสาย หรือใช้ประชุมก็ดีครับ แต่ต้องเข้าใจว่าด้วยดีไซน์แบบ Earbuds ทำให้เนื้อเสียงดนตรีบางและกันเสียงรบกวนได้ไม่เท่าแบบ in-ear นะครับ

ราคาและโปรโมชัน

ลดพิเศษสำหรับโปรโมชันพรีออเดอร์เหลือเพียง 4,499 บาท พร้อมรับฟรีบริการ HUAWEI Music VIP นาน 3 เดือน รวมมูลค่า 387 บาท เมื่อซื้อระหว่างวันที่ 14 กรกฎาคม 2564 ถึง 22 กรกฎาคม 2564 โดยสามารถเป็นเจ้าของได้ที่ HUAWEI Experience Store และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ รวมถึงช่องทางออนไลน์ที่ร่วมรายการอย่าง HUAWEI Online Store, Shopee, Lazada และ JD Central ลิงก์ช่องทางการสั่งซื้อ https://bit.ly/2UbMaAF