นอนครบ 8 ชั่วโมง แต่ตื่นมาแล้วยังรู้สึกไม่สดชื่น อาการนี้อาจมีสาเหตุจากอากาศเก่าที่หมุนเวียนในห้องนอน แล้วอากาศเก่าคืออะไร? ส่งผลอย่างไรต่อการนอนหลับ? คุณจะเติมอากาศใหม่ได้จากที่ไหน? วันนี้แบไต๋ให้ดูครับ

‘อากาศเก่า’ หรือที่บางคนเรียกว่า ‘อากาศเสีย’ คืออากาศที่หมุนเวียนภายในบ้านซ้ำ ๆ ไม่มีการสับเปลี่ยนอากาศระหว่างภายในและภายนอกบ้านครับ โดยอากาศเก่านี้อาจปนเปื้อนฝุ่น เชื้อโรค หรือแม้แต่การสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่เกิดจากคนและสัตว์เลี้ยงที่อาศัยอยู่ภายในบ้านครับ

นอกจากนี้ การสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในห้องที่มีความเข้มข้นเกิน 700 ppm (อ่านว่า พีพีเอ็ม) อาจส่งผลให้ผู้ที่อยู่ภายในบ้านมีอาการอ่อนเพลีย ง่วงนอน และเหนื่อยง่าย ยิ่งถ้าคุณนอนหลับพักผ่อนในห้องที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกินมาตรฐาน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว อาจต้องเจอกับอาการเพลียและความรู้สึกไม่สดชื่น แม้จะได้นอนเกิน 8 ชั่วโมงครับ

จุดนี้สอดคล้องกับรายงานการวิจัยของ Harvard School of Public Health เมื่อปี 2015 นะครับ ที่เขาได้ทดลองให้พนักงานทำงานในห้องที่มีค่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับต่าง ๆ ซึ่งก็ค้นพบว่า การสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในห้องที่มีความเข้มข้นเกิน 1,000 ppm จะเริ่มส่งผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้พนักงานมีสมาธิน้อยลง ตัดสินใจได้ช้าลง และแม่นยำน้อยลงครับ

รู้อย่างนี้แล้ว หลายคนอาจจะอยากเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ แต่ก็ยังมีความกังวลเรื่องฝุ่น PM 2.5 จึงเลือกที่จะปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด แล้วเปิดเครื่องฟอกอากาศแทน ซึ่งเรื่องนี้ต้องบอกว่า ปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 จะหมดไปครับ แต่ปัญหาเรื่องก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะยังคงอยู่ และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามปริมาณของคนและสัตว์เลี้ยงที่อยู่ภายในห้อง เนื่องจากการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ ไม่ใช่การดึงอากาศใหม่เข้ามา แต่เป็นการรีไซเคิลอากาศเก่าที่มีอยู่เดิมภายในห้อง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จึงยังไม่หมดไปครับ

คำถามคือ แล้วเราจะทำให้อากาศเก่าหมดไปได้อย่างไร โดยที่ยังปลอดภัยจากฝุ่น PM 2.5? คำตอบคือ การใช้ระบบเติมอากาศครับ

CAP+ มาพร้อมกับแผ่นกรอง 4 ชั้นในตัว ทำให้คุณได้ทั้งอากาศใหม่ที่สดชื่นและปลอดภัยจากฝุ่น PM 2.5 ครับ โดยรุ่นที่เราได้มารีวิวในวันนี้คือรุ่น CAP 200 ชนิด Wall Type ครับ

ดีไซน์

สำหรับการออกแบบ ภายนอกตัวเครื่องก็ดูดีครับ เป็นเหมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งในห้องเลย ขนาดก็ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป สูง 49 ซม. กว้าง 43 ซม. และหนา 13.5 ซม. ทำงานครอบคลุมพื้นที่ 80 ตารางเมตร โดยตัวเครื่องมีน้ำหนักตามสเปก 5.8 กิโลกรัมครับ เราสามารถยกออกมาได้ง่าย ๆ เพื่อเปลี่ยนแผ่นกรองครับ

ด้านหลังนี้ จะมีการเจาะผนังไว้ครับ เป็นช่องที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 นิ้ว เพื่อสอดท่อที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 นิ้ว ซึ่งทำหน้าที่เป็นทางเดินอากาศจากภายนอกเข้าสู่ตัวเครื่อง และด้านนอกกำแพงก็จะมีฝาครอบเอาไว้ ป้องกันสิ่งรบกวน เช่น นก แมลง หรือมีใบไม้มาปิดทับทางเดินอากาศครับ สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์และเจาะผนัง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครับ แค่นี้คุณก็สามารถเติมอากาศบริสุทธิ์ให้กับบ้านของคุณได้แล้ว

CAP+ ใช้มอเตอร์ขนาด 20 W ในการดูดอากาศจากภายนอกบ้านเข้ามาด้านในบ้านผ่านชุดแผ่นกรอง 4 ชั้น คือ แผ่นกรองหยาบ, แผ่นกรอง HEPA และแผ่นกรองคาร์บอน ที่สามารถกรองได้ทั้งฝุ่น PM10, ฝุ่น PM2.5, เกสรดอกไม้, เชื้อรา และกลิ่นเหม็น ซึ่งกระบวนการกรองนี้ เรียกได้ว่าเป็นการกรองฝุ่น PM 2.5 ตั้งแต่ก่อนจะเข้าบ้านเสียอีกครับ

ส่วนแผ่นกรองชั้นสุดท้ายคือ แผ่นกรอง Silver Ion ทำหน้าที่ปล่อยประจุบวก ให้อากาศภายในห้องกลายเป็นความดันบวก และปล่อยประจุลบ เพื่อดักจับเชื้อโรคให้ตกลงสู่พื้นครับ

โดยชุดแผ่นกรอง 4 ชั้นนี้ มีอายุการใช้งาน 2,000 ชั่วโมง หรือประมาณ 6 เดือนครับ ซึ่งคุณสามารถหาซื้อมาเปลี่ยนเองได้ในราคา 1,200 บาท

คุณสามารถควบคุมการทำงานของ CAP+ ได้จากรีโมตคอนโทรลเท่านั้น โดยมีโหมดการใช้งานให้เลือก 4 โหมดครับ คือ High, Medium, Low, Sleep และบนรีโมตคอนโทรลนี้ ยังมีอีกหนึ่งปุ่มพิเศษคือ ปุ่ม Child Lock ครับ ช่วยป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ มากดรีโมตเล่นอีกด้วย

เนื่องจาก CAP+ ไม่รองรับการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันเพื่อสั่งการหรือแจ้งสถานะการทำงาน จึงมีการใช้สีของไฟในการบอกสถานะมาทดแทนครับ คือ High สีแดง, Medium สีเหลือง, Low สีเขียว และ Sleep สีเขียวกระพริบช้า ๆ ซึ่งจะค่อย ๆ ดับไปเองภายใน 2 นาที เพื่อไม่ให้มีแสงรบกวนขณะพักผ่อนครับ และเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนแผ่นกรอง เครื่องจะแสดงไฟสถานะสีแดงแบบกระพริบครับ

เดี๋ยวเรามาลองวัดจริงดีกว่าครับ ว่าระดับเสียงขณะทำงานของ CAP+ ได้เท่าไร เริ่มวัดจากโหมด High ก่อน ได้ 51-52 dB ต่อมาโหมด Medium 49 dB, โหมด Low 45-46 dB และ Sleep 45 dB ครับ

การทดสอบประสิทธิภาพ

สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของ CAP+ โดยก่อนการถ่ายทำและก่อนการเปิดใช้งาน CAP+ ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เมื่อต้นคลิปอยู่ที่ 1,082 ppm หลังจากถ่ายทำ และมีการเปิดใช้งาน CAP+ จะเห็นได้ว่าระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 611 ppm

ปกติแล้ว ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในห้องนอนจะสูงขึ้น เมื่อเรานอนไปประมาณ 2 ชั่วโมงครับ ทาง beartai จึงขอทดสอบประสิทธิภาพของ CAP+ เพิ่มเติม โดยใช้น้ำแข็งแห้งมาตั้งไว้ในห้องนอน และใส่น้ำสะอาดไว้ให้น้ำแข็งแห้งระเหยออกมาเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถือเป็นการจำลองนอนหลับของคนครับ

ผลลัพธ์ที่ได้หลังจากเปิดการใช้งานในโหมด Medium พบว่า ค่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง และเริ่มนิ่งเมื่อผ่านไป 20 นาทีครับ เมื่อเข้าสู่นาทีที่ 30 ค่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เริ่มนิ่งและมีแกว่งขึ้นลงบ้างเล็กน้อย และเมื่อเปรียบเทียบกับค่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้านนอกบ้าน พบว่าค่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในห้องสูงกว่าเล็กน้อยครับ

จากการทดลองนี้ ทำให้เรารู้ว่า CAP+ สามารถลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในห้องได้จริงครับ แต่จะลดลงได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมด้านนอกบ้านครับ

ข้อสังเกต

สำหรับ CAP+ รุ่น CAP 200 ชนิด Wall Type แม้จะทำผลงานได้ดี แต่อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่สับเปลี่ยนอากาศระหว่างภายในและภายนอกบ้านแบบนี้ มีข้อสังเกตคือ ความนำพาความร้อนและความชื้นเข้ามาพร้อมกับอากาศ ซึ่งจุดนี้เองทำให้เครื่องปรับอากาศอาจจะต้องทำงานหนักขึ้น หากมีการเปิดใช้งานในช่วงเวลากลางวันที่มีอากาศร้อนครับ แต่ช่วงกลางคืน อุณหภูมิระหว่างภายในและภายนอกบ้านไม่แตกต่างกันมาก ก็สามารถใช้งานได้สบาย ๆ

สำหรับการเปิดใช้งาน CAP+ ในช่วงที่มีฝนตก หรือติดตั้งในพื้นที่ที่มีความชื้นรอบ ๆ บ้านสูง ความชื้นก็อาจจะเข้าสู่ตัวบ้านผ่านทางเดินอากาศได้ครับ จุดนี้คุณควรสำรวจค่าความชื้นอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องเชื้อราครับ แต่ถ้าห้องของคุณค่อนข้างแห้งอยู่แล้ว การเพิ่มความชื้นก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ โดยค่าความชื้นที่เหมาะสมสำหรับห้องนอนอยู่ที่ 40-60 %RH ครับ

ข้อสังเกตต่อมาคือ การเจาะผนัง ครับ โดยผนังที่จะเจาะนั้นจะต้องเป็นผนังที่กั้นภายนอกบ้านไว้ครับ ไม่สามารถเลือกเจาะผนังที่เป็นกระจกหรือเจาะผนังกั้นห้องภายในบ้านได้ครับ ส่วนผู้อาศัยอยู่ภายในหอพักหรือคอนโดมิเนียม การเจาะผนังนี้อย่าลืมตรวจสอบกับผู้ดูแลพื้นที่ก่อนนะครับว่าทำได้หรือไม่

และข้อสังเกตข้อสุดท้ายคือ การควบคุมการทำงาน โดยคุณสามารถควบคุมเครื่องได้จากรีโมตคอนโทรลเท่านั้น เนื่องจาก CAP+ ไม่รองรับการสั่งการจากแอปพลิเคชัน หรือระบบสัมผัสบริเวณตัวเครื่องครับ

รีวิวที่ดีต้องมีราคา

CAP+ รุ่น CAP 200 ชนิด Wall Type มีราคาอยู่ที่ 28,900 บาท พร้อมติดตั้งฟรีในพื้นที่ที่ให้บริการ และสำหรับช่วงเปิดตัวนี้มีราคาอยู่ที่ 24,900 บาท ครับ

พิเศษเพิ่มขึ้นอีกสำหรับแฟน ๆ ของ beartai เมื่อสั่งซื้อ CAP+ รุ่น CAP 200 ชนิด Wall Type ผ่านช่องทางออนไลน์ คุณจะได้รับส่วนลดเพิ่มขึ้นอีก 1,000 บาท เพียงบอกว่าเป็นแฟนของ beartai

CAP+ ระบบเติมอากาศบริสุทธิ์มาพร้อมกับการรับประกันตัวเครื่อง 1 ปี และบริการหลังการขาย 3 ปีแบบฟรี ๆ ซึ่งบริการนี้ประกอบด้วยการบำรุงรักษา การซ่อมแซม หรือถ้าอยากให้ช่วยเปลี่ยนชุดแผ่นกรองให้ เขายินดีให้บริการครับ คุณแค่ซื้อชุดแผ่นกรองเพิ่มเติมในราคา 1,200 บาทครับ

คุณสามารถเข้าไปทดลองใช้งาน CAP+ รุ่น CAP 200 ได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูม CAP+ สาขาสุขุมวิท, ราชพฤกษ์ และลาดพร้าว หรือหากไม่ต้องการเดินทาง คุณสามารถดูรายละเอียดและสั่งซื้อสินค้าได้ผ่านช่องทางออนไลน์อย่าง facebook, เว็บไซต์ และ LINE ครับ