วันนี้แพนมีอะไรสนุก ๆ อยากจะมาถามทุกคนครับ ระหว่าง 2 ภาพถ่าย(จากคลิป) ภาพไหนถ่ายจากกล้อง mirrorless และภาพไหน ถ่ายจากกล้องมือถือ เราแยกออกในทันทีที่เห็น หรือต้องพิจารณาดีๆ

ลองดูลองคิดกันให้ดี แล้วเดี๋ยวแพนจะมาแบไต๋ให้ทุกคนรู้กันครับ เมื่อราว 10 ปีก่อน แทบทุกบ้านจะต้องมีกล้องดิจิตอลติดบ้านไว้ เพื่อถ่ายภาพเหตุการณ์สำคัญในครอบครัว หรือเวลาไปเที่ยวก็จะได้มีกล้องดี ๆ เอาไว้บันทึกความทรงจำ

แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นแบบนั้นแล้ว เมื่อกล้องสมาร์ตโฟนพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มาดูกราฟให้เห็นภาพชัดๆ กันดีกว่า ข้อมูลจาก statista ชี้ให้เห็นว่าจะเห็นว่าช่วงปลายยุค 90s เป็นช่วงที่กล้องดิจิตอลเริ่มได้รับความนิยม ซึ่งยอดขายทั่วโลกอยู่ราว 40 ล้านตัวต่อปี และมาพีคสุดในช่วงปี 2010 ที่ขายกล้องดิจิตอลได้กว่า 121 ล้านตัวต่อปี

แต่หลังจากนั้นกราฟก็ปักหัวลงอย่างรวดเร็วจนปี 2019 ยอดขายกล้องเหลือเพียง 15 ล้านตัว และปี 2020 เหลือ 9 ล้านตัวต่อปีเท่านั้น สวนทางกับยอดขายสมาร์ตโฟนที่เชิดหัวขึ้นอย่างมากเช่นกัน

แล้วการพัฒนาของกล้องสมาร์ตโฟนมันไปสะเทือนยอดขายของกล้อง Mirrorless ได้อย่างไร ฟังกันต่อครับ
ผมพาย้อนกลับไปที่ปี 2016 นะครับ กับแกดเจ็ด 2 ชิ้นนี้คือ iPhone 7 และ Sony a6300 ที่เปิดตัวเมื่อ 5 ปีก่อนเหมือนกัน ผมถ่ายภาพมาเทียบให้ดู เราสามารถตอบอย่างไม่ต้องคิดได้เลยใช่ไหมครับว่าภาพจาก Sony a6300 ต้องดีกว่า iPhone 7 แน่ ๆ

กระโดดกลับมาที่ปัจจุบัน ผ่านมา 5 ปีด้วย iPhone12 กับ Sony A7C ที่ออกมาในปี 2020 เหมือนกัน แม้กล้อง Mirrorless จะยังถ่ายได้สวยงาม แต่คุณภาพไม่ได้ก้าวกระโดดมากนัก เมื่อเทียบกับภาพถ่ายจากสมาร์ตโฟนที่จาก iPhone 7 เป็น iPhone 12 นั้นให้คุณภาพภาพสูงขึ้นชัดเจน

อย่างเช่นภาพที่แพนให้ดูตอนแรกภาพนี้ถ่ายด้วยสมาร์ตโฟน ส่วนภาพนี้ถ่ายด้วยกล้อง mirrorless ทำไมกล้องมือถือถึงพัฒนาไปเร็วขนาดนี้ แล้วทำไมกล้อง Mirrorless ไม่สามารถพัฒนาด้วยความเร็วระดับเดียวกับกล้องในสมาร์ตโฟนได้ คำตอบน่าจะอยู่ในกราฟเทียบสัดส่วนยอดขายกล้องกับสมาร์ตโฟน ที่เห็นได้ชัดเจนว่าในขณะที่กล้องดิจิตอลเหลือยอดขายแค่หลัก 10 ล้านตัวต่อปี และมีแนวโน้มว่าจะลดลงเรื่อย ๆ ด้วย แต่สมาร์ตโฟนขายได้มากกว่าพันล้านเครื่องต่อปี ยอดขายต่างกันเป็นร้อยเท่า พันเท่า

ก็ทำให้เงินลงทุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีของกล้องสมาร์ตโฟนสูงกว่าเงินลงทุนของกล้อง Mirrorless ไปมากเช่นกันครับ สำหรับคนที่พอรู้เรื่องกล้องมาบ้าง น่าจะเข้าใจว่ายิ่งเซนเซอร์รับภาพใหญ่ คุณภาพภาพก็ยิ่งดี กล้องแบบ Full Frame เลยให้คุณภาพภาพสูงกว่ากล้องแบบ APS-C เพราะพื้นที่รับภาพมากกว่า

แต่ในมือถือเราไม่สามารถยัดเซนเซอร์ขนาด APS-C หรือ Full Frame เข้าไปได้อยู่แล้ว เพราะมือถือทั้งบาง ทั้งเล็ก เซนเซอร์ขนาดใหญ่สุดที่ยัดลงไปในมือถือตอนนี้ได้ก็มีขนาดแค่ 1 นิ้ว ใน Sharp AQUOS R6 แต่มือถือทั่วไปก็ใช้เซนเซอร์เล็กกว่านั้นมาก การจะทำให้กล้องมือถือได้คุณภาพสู้กล้องใหญ่ได้ มันสู้ด้วยกฎฟิสิกส์ของแสงกฎเดียวกันไม่ได้ ก็ต้องหาทางอ้อมอื่น ๆ ซึ่งเป็นไปได้ด้วยเงินวิจัยเทคโนโลยีมหาศาล

ถ้าในเมื่อ Sensor ของมือถือมันเล็ก ใส่ให้ใหญ่ไม่ได้ งั้นเราพัฒนาเซนเซอร์ขนาดเล็กให้ดีที่สุด แล้วใช้ CPU เข้ามาช่วยละกัน เช่นกดครั้งเดียวได้รูปดิบเป็น 10 ภาพในแชะเดียว แล้วใช้ CPU รวมทั้งหมดเพื่อให้ภาพมีรายละเอียดที่สมบูรณ์ ได้รายละเอียดเล็ก ๆ ที่หายไปถ้าถ่ายครั้งเดียว เช่นการทำงานของฟังก์ชัน Deep Fusion ที่มีตั้งแต่ iPhone 11

และเพราะ CPU บนสมาร์ตโฟนนั้นทำงานเร็วกว่าหน่วยประมวลผลของ Mirrorless มาก ก็สามารถพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงลงไปได้ เช่น iPhone12 สามารถถ่ายภาพและถ่ายวิดีโอแบบ HDR ในตัวได้เลย จะถ่ายย้อนแสงหน้าก็ไม่มืด หรือถ่ายท้องฟ้ายังมีรายละเอียด แต่ถ้าใช้กล้อง Mirrorless นี่ก็ไม่รู้ต้องแต่งภาพใน Lightroom อีกเท่าไหร่ถึงจะได้ภาพที่ AI ปรับมาให้ในสมาร์ตโฟน

แล้วในเมื่อสมาร์ตโฟนเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ เพราะงั้นผู้ผลิตจึงคิดนอกกรอบโดยใส่เลนส์หลาย ๆ ตัวลงไปในกล้องมือถือเลย เพื่อให้รองรับการถ่ายตั้งแต่มุมกว้างจนถึงภาพซูมในเครื่องเดียว ไม่ต้องเปลี่ยนเลนส์อีก

ซึ่งมีการพัฒนาเซนเซอร์ความละเอียดสูงมากๆ เช่น 64 ล้าน หรือ 108 ล้านพิกเซล เพื่อใช้ประโยชน์ในการซูมภาพ โดยกล้องสามารถถ่าย 108 ล้านพิกเซลมาเพื่อเอามาครอปซูม 2-3 เท่าได้โดยไม่เสียรายละเอียดมากนัก

แถมมีการพัฒนาเลนส์แบบ Periscope เพื่อให้ซูมระดับ 10 เท่าด้วยเลนส์บนกล้องมือถือได้แล้ว
กล้องมือถือมีเซนเซอร์ขนาดเล็ก เพราะฉะนั้นเรื่องความชัดตื้น ถ่ายคนให้หน้าชัดหลังเบลอก็สู้กล้องใหญ่ที่ถ่ายหลังละลายสวยๆ ไม่ได้อยู่แล้ว

ในเมื่อไม่ได้ด้วยฟิสิกส์ของแสง เราก็ใช้ AI เข้ามาช่วยแล้วกัน ก็มีการวิจัยพัฒนา AI ที่สามารถละลายพื้นหลังให้เหมือนเลนส์ได้เนียนตามากขึ้น และพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีด้วย แน่นอนว่าถ้าเทียบกันชัด ๆ กล้อง Full Frame Mirrorless ก็ยังถ่ายภาพได้ดีกว่าสมาร์ตโฟนเครื่องเล็ก ๆ อยู่ดี ที่ยังไงกล้องตัวจริงก็ให้ภาพที่มีมิติดีกว่า การไล่โทนสีสวยกว่า รายละเอียดในภาพดีกว่า

แต่สำหรับคนทั่วไปที่ต้องการถ่ายรูปเพื่อเก็บความทรงจำในแต่ละวัน หรือภาพในครอบครัว เราต้องการคุณภาพภาพระดับกล้อง Mirrorless ตลอดจริงๆ หรือ แล้วจำเป็นต้องแบกกล้องหนักเป็นกิโลไปถ่ายรูปไหม ในเมื่อกล้องของสมาร์ตโฟนก็ดีเกินพอสำหรับการใช้งานทั่วไปแล้ว แถมยังเป็นกล้องที่ติดตัวเราไปได้ตลอด ถ่ายแล้วพร้อมแชร์สู่โลกโซเซียลได้ทันที ซึ่งก็สอดคล้องกับกราฟยอดขายกล้องดิจิตอลก็ตกลงอย่างมาก ส่วนยอดขายสมาร์ตโฟนแซงขึ้นไป

ต่อไปกล้อง Mirrorless อาจกลายเป็นของเฉพาะกลุ่มสำหรับช่างภาพเพื่องานสำคัญที่ต้องการกล้องใหญ่รายละเอียดสูง เพื่อสร้างความพิเศษแตกต่างจากการใช้สมาร์ตโฟนถ่ายรูปโดยทั่วไป เป็นสินค้าเฉพาะกลุ่มสำหรับการใช้เพื่อสร้างรายได้ มากกว่าจะเป็นสินค้าเพื่อผู้ใช้ตามบ้านทั่วไป ถึงแม้ผู้ใช้อาจจะน้อยลงแต่คนที่ต้องการแพนว่ามีแน่นอน

แต่ที่น่ากังวลคือ หากอนาคตยอดขายน้อยลงไปเรื่อยๆ ทางเลือกกล้องดิจิตอลในตลาดจะเหลือแค่ไหน อาจจะมีรุ่นราคาถูก แล้วกระโดดไปรุ่นราคาแพงสำหรับโปรใช้เลยก็ได้ ตามลักษณะของสินค้าเฉพาะกลุ่ม เรื่องนี้ต้องรอดูกันต่อไปครับ