ยุคสมัยแห่งทีวีกลับมาแล้วครับ เพราะตอนนี้ทีวีจอใหญ่ 40 – 50 นิ้วถูกมาก บางแบรนด์ไม่ถึงหมื่นก็ซื้อได้แล้ว แบไต๋เราก็รีวิวทีวีหลายรุ่นที่น่าสนใจมาตลอด แล้วทีวียุคนี้ก็เป็นสมาร์ตทีวี ดู Youtube, Netflix และสารพัดแอปได้ในตัวโดยไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่มอีก เราจะมามัวดูเนื้อหาในจอมือถือเล็กๆ อยู่ทำไม ดูในทีวีจอใหญ่ๆ สบายกว่าเยอะ!

และวันนี้ต้าจะมาแบไต๋เทคนิคการเลือกทีวีให้ถูกใจ และคุ้มค่าเงินที่จ่ายไปครับ

ความละเอียดหน้าจอ

เรื่องแรก เราควรซื้อทีวีความละเอียดเท่าไหร่ดี Full HD, 4K หรือ 8K ต้าฟันธงเป็นคำตอบของปี 2021 นะครับ ว่าควรเป็น 4K ครับ เพราะทีวี Full HD มันหายากแล้วตอนนี้ ส่วนใหญ่จะมีแค่ในรุ่นจอเล็กๆ สัก 32 นิ้วเท่านั้นที่ยังเป็น Full HD เราก็ข้ามไป 4K เลยดีกว่า

ส่วนทีวี 8K ตอนนี้ยังแพงมาก และเราหาเนื้อหา 8K แท้ๆ มาเล่นบนทีวีได้ยากในตอนนี้ครับ อาจจะมีคลิปใน Youtube ที่เป็น 8K บ้าง แต่หนังและซีรีส์ที่หาดูได้ตอนนี้มีความละเอียดสูงสุดแค่ 4K เท่านั้น และจอ 8K อาจแสดงผลได้ไม่ดีเท่าจอ 4K ถ้าเนื้อหานั้นมีความละเอียดต่ำ เช่นเอาเนื้อหา HD 720p หรือ Full HD 1080p ไปเล่นบนจอ 8K ก็อาจมองเห็นภาพเบลอๆ มากกว่าจอ 4K

8K น่าจะเป็นมาตรฐานของทีวีในอนาคต แต่ด้วยราคาและเนื้อหาที่รองรับได้น้อยในตอนนี้ เราจึงสรุปว่าซื้อจอ 4K ดีๆ ใช้ไปก่อนดีกว่าครับ

ขนาดของทีวี

คำถามต่อมาที่เราได้รับมาเยอะ คือควรซื้อทีวีใหญ่แค่ไหนดี เรื่องนี้ตอบง่ายๆ ในยุคนี้ ว่าให้ซื้อใหญ่ที่สุดเท่าที่จะวางในบ้านคุณได้ และงบคุณถึงครับ เพราะทีวีจอยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งให้ประสบการณ์รับชมที่ดีกว่าจอเล็กๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณต้องแคร์ก่อน คือต้องรู้ขนาดผนังหรือพื้นที่ว่างที่จะวางทีวีในบ้านก่อน ว่าใส่ทีวีขนาดไม่เกินเท่าไหร่ แล้วไปวัดทีวีที่หน้าร้านให้ไม่เกินขนาดนี้ครับ

แต่ถ้าบ้านคุณมีระยะชมทีวีจำกัด เช่นอยู่ห่างจากทีวีไม่ถึง 1.5 เมตร ก็อาจลดขนาดทีวีลงหน่อยได้ครับ ซึ่งวิธีที่เราแนะนำคือให้วัดระยะห่างจากจุดที่วางทีวีถึงที่นั่ง แล้วลองไปดูทีวีที่หน้าร้านในระยะเดียวกันดูครับ ว่าจอใหญ่ไปไหม ดูแล้วเหนื่อยกับการกวาดสายตาไหม ถ้าทดลองแล้วโอเคกับทีวีไซส์ไหนก็จัดได้เลยครับ

การวางทีวี

ส่วนใครที่กำลังสร้างบ้านหรือแต่งบ้านใหม่ ที่สามารถเลือกจุดวางทีวีและเฟอร์นิเจอร์ได้ เราแนะนำดังนี้ครับ

อย่างแรก ให้วางทีวีในระยะที่กำลังดูสบาย จอกับผู้ชมห่างสัก 2-3 เมตรก็พอ คือยิ่งดูทีวีไกล ความรู้สึกก็คือดูจอเล็กลง ก็ลำบากต้องซื้อจอใหญ่ขึ้นให้แพงขึ้น

ต่อมาคือเลือกใช้โต๊ะวางทีวีที่เปิดโล่ง ดีกว่าทำเป็นกรอบเฟอร์นิเจอร์รอบทีวี เพราะไม่ปิดกั้นเรื่องขนาดทีวี เผื่ออนาคตมีทีวี 100 นิ้วขายถูกๆ เราก็สามารถอัปเกรดไปได้โดยไม่ต้องแก้เฟอร์ในบ้าน

และถ้าจะเลือกแขวนทีวีกับผนังแทนที่จะใช้โต๊ะวางทีวี ก็ต้องคิดเรื่อง Cable Management ให้ดี เช่นถ้าจะเสียบ PlayStation หรือติดตั้งลำโพงเพิ่ม สายจะซ่อนยังไงไม่ให้รบกวนสายตา ซึ่งถ้าอยากหลีกเลี่ยงความรกของสายในอนาคต เราจึงแนะนำให้ใช้โต๊ะวางทีวีมากกว่าติดผนังครับ เพราะทีวีตั้งโต๊ะเราสามารถซ่อนสายและอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ไว้หลังทีวีได้

ส่วนความสูงของการติดตั้ง เราแนะนำให้ทีวีสูงเท่าๆ กับสายตาของผู้ชมเวลานั่งดู จะเป็นมุมที่ดีที่สุด ถ้าติดตั้งทีวีสูงเกินไป อาจต้องเงยหน้าดูทีวีจนปวดคอได้เวลาดูนานๆ

ประเภทของจอทีีวี

เริ่มจากทีวี OLED คือใช้แผงหน้าจอที่สามารถเปล่งแสงและปิดแสงได้ในระดับพิกเซล ทำให้จอประเภทนี้ ให้สีดำสนิท และให้ Contrast สูงที่สุด จึงได้ภาพตื่นตาตื่นใจ แต่จุดอ่อนอยู่ที่อายุการใช้งาน เพราะมีโอกาสเจอปัญหาจอเบิร์นหรือรอยบนหน้าจอจากการแสดงภาพเดิมซ้ำๆ นานๆ เช่นโลโก้สำนักข่าว ซึ่งแม้ปัจจุบันผู้ผลิตจะป้องกันปัญหานี้ด้วยซอฟต์แวร์ที่จัดการภาพที่แสดงผลซ้ำๆ ไม่ให้ค้างนานเกินไป แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี และอีกเรื่องคือราคาของจอ OLED จะแพงกว่าจอทั่วไปชัดเจน

ต่อมาคือ LED คือจอทีวีทั่วไปที่ขายเริ่มต้นกันไม่แพง ซึ่งคุณภาพของกลุ่มจอ LED นี่กว้างมากตามราคาเลย จอที่มีราคาหน่อยก็จะแสดงภาพได้ดีขึ้น และมีประเภทย่อยคือจอแบบ IPS-LED ที่แสดงภาพได้สวยงามทุกมุมมอง มองทีวีเอียงๆ ภาพก็ยังชัดอยู่ แต่ให้ Contrast ได้ไม่สูง และจอแบบ VA-LED ที่ให้ Contrast สูงกว่า ให้สีดำได้ลึกกว่า แต่มีปัญหาเวลามองทีวีมุมเอียง ภาพจะสีเพี้ยนได้ง่ายกว่าจอประเภทอื่นๆ ครับ

สุดท้ายคือ QLED คือจอ LED ที่อัปเกรดใหม่ให้แสดงสีสันได้สดใสมากขึ้น เป็นกลุ่มจอที่ให้สีสดเหมือนจริงที่สุดในจอทั้ง 3 ประเภท ส่วน Contrast จะดีกว่า LED แต่ก็ยังด้อยกว่าจอ OLED นิดหน่อย เพราะไม่ได้เปิด-ปิดแสงในระดับพิกเซล และทีวี QLED ระดับบนมีราคาไม่ต่างจากทีวี OLED เท่าไหร่ครับ

โดยจอ LED และ QLED จะไม่มีปัญหาเรื่องจอเบิร์น ถ้าจะให้ภาพดีขึ้น ต้องดูจอที่มี Local Dimming ครับ ทีวีที่มีเทคโนโลยีนี้จะสามารถหรี่แสงสว่างเป็นโซนได้ ทำให้ภาพในจอมีสีดำที่ลงลึกขึ้น Contrast สูงขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ Contrast ที่เนี๊ยบเท่าจอ OLED นะครับ

สรุปจอ OLED และ QLED ตัวแพงๆ จะให้คุณภาพภาพได้ดีที่สุด แต่ OLED มีความเสี่ยงเรื่องอายุการใช้งานจากปัญหาจอเบิร์น ส่วน QLED ยังให้ Contrast ต่ำกว่าทีวี OLED

และทีวี LED จะมีราคาถูกที่สุด ให้คุณภาพภาพดีพอสำหรับใช้งานทั่วไป ซึ่งถ้ามีงบมากขึ้นให้เลือกทีวีที่มีเทคโนโลยี Local Dimming ก็จะให้ภาพที่ดีขึ้นครับ

ส่วนเรื่อง HDR หรือ High Dynamic Rate ก็เกี่ยวข้องกับคุณภาพหน้าจอด้วย พูดง่ายๆ คือจอยิ่งแพง จะแสดงภาพ HDR ได้สวยกว่า เพราะภาพ HDR ที่ดี ส่วนมืดและสว่างต้องมีรายละเอียด และต้องมี Contrast ที่มากพอ ซึ่งหน้าจอแบบ OLED ที่มี Contrast สูง หรือ QLED และ LED ที่มีเทคโนโลยี Local Dimming จะได้เปรียบในจุดนี้

ซึ่ง HDR ก็เป็นความสามารถพื้นฐานที่ทีวียุคนี้ควรมีแล้ว อย่างน้อยก็ต้องรองรับ HDR10 ส่วนทีวีไหนรองรับเป็นมาตรฐานที่สูงกว่าอย่าง HDR10+ หรือ Dolby Vision อันนี้ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่

ระบบเสียง

ต่อมาเรื่องระบบเสียง อันนี้ผมไม่ได้ให้น้ำหนักมากนะครับ เพราะส่วนใหญ่ลำโพงทีวี ต่อให้ดียังไง ก็สู้ลำโพงแยก หรือ Soundbar ที่มาพร้อม subwoofer ไม่ได้ ถ้าแคร์เรื่องความกระหึ่มของเสียง ก็เลือกทีวีที่ชอบ แล้วกันเงินส่วนหนึ่งไว้ซื้อ Soundbar ไปเลยดีกว่าครับ สมัยนี้ลำโพงซาวน์บาร์ขายกันไม่กี่พัน แต่ถ้าฟังเสียงจากทีวีแล้วโอเค ก็ไม่ต้องซื้อก็ได้ครับและเรื่องของระบบปฏิบัติการของ Smart TV เราอธิบายข้อดี ให้เลือกเหมาะสมกับความต้องการครับ

ระบบปฏิบัติการ

เริ่มจาก Android TV หรือ Google TV ระบบปฏิบัติการที่ค่าย Sony, Panasonic, Xiaomi, TCL และอีกหลายแบรนด์เลือกใช้ และมีกล่องทีวีมากมายเลือกใช้ จุดเด่นคือมีแอปหลากหลาย บริการอย่าง Disney+ Hotstar ก็ให้บริการบน Android ก่อน นอกจากนี้ยังสามารถสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Google Assistant ได้ เป็นศูนย์กลางควบคุม IoT ในระบบ Google Home ได้ด้วย พร้อมยังมี Chromecast ในตัว ทำให้ Android สามารถยิงภาพขึ้นจอได้ทันที

ต่อไปคือ Tizen ของ Samsung จุดเด่นคือมีระบบพิเศษของซัมซุงมากมาย เช่นหน้าร้านโหลดภาพเพื่อทำทีวีให้เป็นกรอบรูปสวยๆ หรือระบบ Smartthings เพื่อควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้าน ส่วนในเรื่องแอปก็จัดว่ามีเยอะ และเป็นระบบเดียวที่มี AIS Play ติดตั้งในเครื่อง

สุดท้ายคือ WebOS จาก LG ที่จุดเด่นคือการสั่งงานที่ลื่นไหลผ่านการควง Magic Remote ซึ่ง WebOS ที่เราเคยเห็นมาจะเป็นเมนูอยู่ทางด้านล่างของจอ แต่ WebOS 6.0 จะแสดงเป็นเมนูแบบเต็มหน้าพร้อม Widget แสดงข้อมูลต่างๆ สามารถควบคุมอุปกรณ์ IoT ในระบบ ThinQ AI ได้ และมีแอปหลักๆ ที่ใช้ประจำครบ

ซึ่งปัจจุบันมีทีวีหลายรุ่นที่รองรับ Apple AirPlay และ Apple TV ในตัวโดยไม่ต้องต่อกล่องเพิ่ม สามารถยิงภาพจาก iPhone หรือแมคขึ้นจอได้ทันที ถ้าสนใจความสามารถนี้ อย่าลืมสอบถามตอนซื้อนะครับ

ใครกำลังเลือกซื้อทีวีอยู่ จบคลิปนี้แล้ว กลับไปลองดูทีวีใหม่ตามหน้าร้านได้เลยครับ ต้องได้ติดไม้ติดมือกลับมาแล้วแหละ ต้ามั่นใจ