วันนี้ผมอยู่กับ ALIENWARE M15 RYZEN™ EDITION R5 โน้ตบุ๊กสเปกโหดเหมือนได้ขุมพลังจากต่างโลก! ที่ในครั้งนี้ กลับมาใช้ซีพียู AMD คู่กับการ์ดจอ Nvidia ในรอบทศวรรษ (ตั้งแต่ปี 2007) ฉะนั้นมาดูกันว่าการกลับมาในครั้งนี้จะเป็นยังไง? ผมหนุ่ย พงศ์สุข จะมา #beartai ให้ดูครับ!

ดีไซน์

เรามาเริ่มกันที่ดีไซน์ตัวเครื่องกันเลย ต้องยอมรับว่านอกเหนือจากสเปกที่ Alienware มักจัดมาให้แบบเข้ม ๆ ดีไซน์ตัวเครื่องภายนอกก็เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนใช้โน้ตบุ๊กของเอเลี่ยน มีความล้ำ เท่ บ่งบอกตัวตนของความเป็นเกมเมอร์

ฝาหลังจะใช้วัสดุเป็นพลาสติกที่มีเกรดอยู่ในระดับดี แข็งแรงระดับหนึ่ง แต่จุดเด่นเลยคือตัวเครื่องทั้งหมดจะใช้การเคลือบสีด้วยวิธี High Endurance Clear Coat Paint with Silky Smooth finish ชื่อยาวมาก แต่เอาเป็นว่าผมจะบอกผลลัพธ์เลยคือเราจะได้ผิวสัมผัสตัวเครื่องที่เรียบเนียน นุ่มมือ เชื้อเชิญให้ใช้งานเป็นอย่างมาก แต่รุ่นที่เรารีวิวจะมีสีให้เลือกแค่ดำเหลือบเทา Dark Side of the moon ไม่มีรุ่นสีขาวเอกลักษณ์ให้เลือกครับ

ในขณะที่การแสดงผลไฟ RGB ก็ยังคงเหมือนกับในรุ่นก่อนหน้านี้ ที่มีตั้งแต่โลโก้ Alienware ที่ตรงกลาง บริเวณวงแหวนรระบายอากาศ รวมไปถึงคีย์บอร์ดก็สามารถปรับแต่งการแสดงผลของสีได้อย่างอิสระผ่านซอฟต์แวร์ Alienware Command Center

ส่วนรูระบายอากาศจะมีด้วยทั้งสิ้น 4 ช่องนะครับ ข้างหลัง 2 และด้านข้างตรงนี้ฝั่งละ 1 ส่วนข้างล่างละจะเป็นช่องไว้สำหรับดูดลมเข้า ทางด้านความหนาของเครื่องมือพับฝาปิดลงมาจะอยู่ที่ 12.9 มิลลิเมตรครับ ส่วนน้ำหนัก ทางเว็บไซต์ออฟฟิเชียลระบุตัวเลขของเครื่องเปล่าไว้เป๊ะ ๆ ที่ 2.69 กิโลกรัม แต่เราจะมาชั่งจริงจะหนักเท่าไหร่เมื่อรวมเข้ากับอะแดปเตอร์ ซึ่งน้ำหนักที่ได้คือ 3.4 กิโลกรัม ก็ต้องบอกว่าน้ำหนักจัดอยู่ในเกณฑ์ปกติของโน้ตบุ๊กเกมมิงครับ ชั่งจริง 2.4 รวมอะแดป 3.4

ในขณะที่พอร์ตก็ให้มาในจำนวนที่เยอะใช้ได้นะครับ เริ่มจากฝั่งขวาของเครื่องตรงนี้ที่ให้ USB-A 3.2 gen 1 มา 2 พอร์ต, ฝั่งซ้ายจะให้พอร์ตแลน RJ45 1 พอร์ต และรูหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร, ปิดท้ายกันที่ด้านหลังเครื่อง พอร์ตแรกเป็น USB-C 3.2 Gen 2 ซึ่งเป็นดิสเพลย์พอร์ตไปในตัว แต่ไม่รองรับ Thunderbolt หรือการชาร์จไฟกำลังสูงผ่านพอร์ตนี้ได้ ถัดมาเป็น USB-A 3.2 Gen 1 อีกหนึ่งพอร์ต, HDMI 2.1 1 พอร์ต และช่อง DC อะแดปเตอร์ 240 วัตต์

โดยสรุปหากพิจารณาจากการนำไปต่อกับอุปกรณ์การเล่นเกมก็ถือว่าครบถ้วน สามารถต่อเข้ากับเกมมิงมอร์นิเตอร์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดได้ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีช่องอ่านการ์ด Micro SD และ SD Card มาให้

หน้าจอ

ส่วนทางด้านหน้าจอมีขนาด 15.6 นิ้ว โดยมีความละเอียดอยู่ที่ 2K QHD 2560 x 1440 มีรีเฟรชเรตมากถึง 240Hz ซึ่งถือว่ามากที่สุดในบรรดาจอเกมมิง 2K ในปัจจุบัน และเมื่อทำงานร่วมกับ Nvidia G-Sync อาการภาพขาดไม่มากวนใจขณะที่เล่นเกมอยู่แน่นอน

ทางด้านพาแนลเองใช้เป็นประเภท WVA (Wide Viewing Angle) ให้ความสว่างจอได้สูงสุดที่ 400 Nits มีขอบเขตการแสดงสี 99% DCI-P3 ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นจอที่มอบประสบการณ์เล่นเกมได้ถึงใจ แต่ยังเป็นจอที่สามารถนำไปใช้ดูหนัง หรือทำงานด้านกราฟิกได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย!

ลำโพง

ต่อมาเรามาเทสลำโพงที่อยู่ใต้เครื่องกันบ้างครับ ต้องบอกแบบนี้คุณภาพของเสียงอยู่ในระดับที่โอเค เสียงดัง เสียงเคลียร์ แต่เนื่องจากเป็นลำโพงใต้เครื่องก็แนะนำว่าอย่าเอาของประเภทหมอน มาวางรองเพราะเสียงมันจะอู้ กับอีกเรื่องคือเสียงเบสมีความหนาน้อยไปหน่อย แต่เกมเมอร์เอาเข้าจริง ๆ เราก็เลือกมักจะฟังเสียงผ่านหูฟังอยู่แล้ว

ทางด้านเว็บแคมให้ความละเอียดมาที่ 720p 30fps ก็สามารถใช้ในการปลดล็อกด้วยใบหน้าผ่าน Windows Hello ได้ ส่วนไมโครโฟนก็อยู่ใกล้ ๆ กล้องตรงนี้นี่แหล่ะครับ ซึ่งคุณภาพของทั้งคู่จัดอยู่ในระดับที่พอเอามาใช้งานได้ ตัวกล้องเอาไปใช้งานในที่มืดได้ระดับหนึ่ง ส่วนไมค์คือตามคุณภาพของไมค์แบบบิวด์อินคือยิ่งหากจากจุดรับเสียงคุณภาพก็จะน้อยลง

ต่อมาเป็นเรื่องของคีย์บอร์ดนะครับ สัมผัสการกดต้องบอกว่าแน่นครับ แต่ละปุ่มมีพื้นที่วางนิ้วที่มากพอ ลดทอนเวลาพิมพ์หรือการกดพลาดไปปุ่มอื่น และก็แน่นอนว่าต้องมี Anti-Ghosting หรือรองรับการกดหลายปุ่มพร้อมกันโดยที่ทุกปุ่มแสดงผลทั้งหมด ส่วน Key Travel หรือการเดินทางระหว่างการเริ่มปุ่มกดจนมิดปุ่ม จะอยู่ที่ 1.8 มิลลิเมตร ก็ให้ความรู้สึกที่สบายไม่ต้านนิ้ว เกมเมอร์คนไหนเวลาพิมพ์หรือกดแรงน่าจะสะใจน่าดูละ

ส่วนทางด้านไฟ RGB จะถูกแบ่งออกเป็น 4 Zone ที่สามารถเลือกปรับรูปแบบการแสดงผลและสีได้ผ่าน Alienware Command Center ส่วนทางด้านทัชแพดต้องบอกว่ามีขนาดค่อนข้างเล็กนะครับ และก็จะมีความรู้สึกที่ไม่ค่อยแน่นสักเท่าไร เอาจริง ๆ จากใจเกมเมอร์คงไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ อยากจะบอกว่า Alienware ก็มีเมาส์ด้วยนะ!

สเปก

มาพูดถึงสเปกภายในของ ALIENWARE M15 RYZEN™ EDITION R5 กันบ้าง ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็น Ryzen Edition ซีพียูก็เลยจัดตัวแรง เป็น AMD Ryzen 7 5800H พร้อมแกนประมวลผลแบบ 8 cores and 16 Thread ครับ

โดยกองบรรณาธิการแบไต๋ ทดสอบซีพียูด้วย Geekbench 5 ผลคะแนนออกมาเป็นที่น่าพอใจ โดย Single Core ทำไปได้ 1447 คะแนน ส่วน Multi Core ก็สูงถึง 8030 คะแนนเลยทีเดียวครับ

ตัวการ์ดจอก็จัดหนัก แต่ยังไม่ถึงขันสุด กับ Nvidia RTX 3070 เวอร์ชั่นใช้ไฟ 125W ที่ต้องบอกวัตต์ เพราะมีหลายสเปกครับ ขั้นสุดคือ 140W ครับ

แต่ถึงอย่างนั้น RTX 3070 ก็ทำผลคะแนนจาก 3DMark ในโหมด Time Spy ได้ถึง 10380 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่า RTX 3070 ที่ #beartai เคยรีวิวมาทั้งหมด

ส่วนแรมก็ให้มา 16GB แบบ 3200Hz ด้านหน่วยความจำก็เป็น SSD NVMe M.2 ขนาด 1TB ครับ โดยทั้งแรมและหน่วยความจำสามารถอัปเกรดได้

ด้านประสิทธิภาพการอ่านเขียนข้อมูล เราก็ทดสอบด้วย CrystalDiskMark ก็พบว่าอยู่ในระดับ 3000 MB/s ทั้งคู่เลยครับ ซึ่งความเร็วนี้จะดีกับการโอนถ่ายข้อมูลภายใน รวมถึงการโหลดออปเจ็กต์ต่าง ๆ ในเกมด้วยนะครับ

เริ่มกันกับเกมแรกเลย Apex Legend ปรับเลโซลูชันไปเลย! 2K เซตสุดทุกอย่าง เฟรมที่ทำได้ลื่น ๆ เลยครับ 100 – 140 fps แต่ถ้า 140 ไม่พอ ก็ปรับเลโซลูชันลงมาเหลือ 1920 x 1080 หรือว่า FullHD ก็ได้ครับ ซึ่งเฟรมทำได้สูงสุดไปเลย 200 fps

ถัดมาเป็น Metro Exodus Enhance Edition เวอร์ชันเดิมที่ว่ากินสเปกแล้ว เอาเวอร์ชันอัปเกรดนี้ไปเลย! ปรับอัลตราทุกอย่าง เลโซลูชัน 2K ซึ่งเฟรมที่ทำได้เกิน 60 fps จะมีดรอปบ้างก็ตามแต่ฉากที่การแสดงผลของ Asset ที่เยอะ แต่โดยรวมคือเล่นสบายมากครับ

ต่อมาเกมเทสสเปกแห่งยุคกันบ้างครับ Cyberpunk 2077 ดันไปให้สุดเลยอัลตราทุกอย่าง เลโซลูชัน 2K เอาจากผลลัพธ์แรกก่อน ภาพรวมหากเป็นฉากที่มีการแสดงผลของโมเดล และ Asset จำนวนมาก จะอยู่ที่ 40 – 46 fps แต่ถ้าใครอยากได้ 60 fps ตลอดการเล่นก็ปรับการตั้งค่า Raytracing ลดลงมาพร้อมกับลดเลโซลูชันให้เหลือแค่ 1920 x 1080 ก็เรียบร้อยลื่นยิ่งกว่าจารบีอีกครับ

ส่วนทางด้านการตัดต่อวิดีโอหรือการใช้งานโปรแกรมอื่น ๆ แน่นอนอยู่แล้วว่าสเปกขนาดนี้ตัดไฟล์โปรเจกต์ 4K ได้สบาย หรือด้านการแต่งภาพจะใช้ฟีเจอร์ Content Aware Fill หรือที่กินสเปกมากกว่านี้ก็รวดเร็วทันใจครับ และก็ไม่ต้องห่วงเรื่องอุณหภูมิ เพราะตัวเครื่องใช้ Alienware Cryo-Tech™ Cooling ที่ระบายความร้อนได้ดี รวมถึงมีการใช้โลหะเหลว แทนซิลิโคลนด้วย ความร้อนขณะเล่นเกมจึงอยู่ที่ราว ๆ 80-85 องศา ถือว่าค่อนข้างเย็น นอกจากนี้ยังสามารถปรับความเร็วพัดลมได้แบบละเอียดผ่าน Alienware Command Center ซึ่งหากปรับเป็นระดับ Full Speed ตัวเครื่องจะมีการระบายอากาศที่ดีมากแต่ต้องแลกมากกับเสียงดังที่อาจจะเกิดขึ้น

ส่วนทางด้านแบตเตอรี่การใข้งาน ALIENWARE M15 Ryzen Edition R5 อยู่ที่ 86Wh (watt-hour) สามารถใช้งานทั่วไปได้ราว ๆ 4-5 ชั่วโมงต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ส่วนหากเป็นการเล่นเกมหนัก ๆ จะอยู่ที่ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ซึ่งการชาร์จแบตเตอรี่ตั้งแต่ 0 – 100% จะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง

ข้อสังเกต

มาถึงสิ่งที่แบไต๋มีให้ในทุก ๆ รีวิว นั่นคือการฝากข้อสังเกตไว้เพื่อป็นหนึ่งในข้อพิจารณา สำหรับ ALIENWARE M15 Ryzen Edition R5 ต้องบอกว่าหากนับบทบาทของการเป็นโน้ตบุ๊กเพื่อการเล่นเกม ในด้านการใช้งานต้องบอกว่าไม่มีครับ แต่หากเป็นปัจจัยอื่น ๆ เราคิดเห็นว่าเป็นขนาดของอะแดปเตอร์ที่ใหญ่จนเกินไปสำหรับการพกพา

กับอีกหนึ่งข้อคือในรุ่นที่เรานำมารีวิวนี้ ไม่มีตัวเลือกสีให้ จะมีก็แค่ดำ Dark side of the moon ขาดสี Lunar light หรือสีขาวที่เป็นเอกลักษณ์ของ Alienware ไปครับ ซึ่งจะมีอยู่ในรุ่น X15 ครับ

แต่ก่อนจะบอกราคาผมมีอุปกรณ์เสริมของทาง ALIENWARE มาขิง นี่ Alienware 510H 7.1 Gaming Headset สี Dark Side of the Moon สีเดียวกันกับตัวโน้ตบุ๊กเลย ก็เป็นหูฟังที่มาพร้อมไมโครโฟน โดนมีจุดเด่นคือให้เรนจ์เสียงที่ให้มาตั้งแต่ 20Hz – 40KHz

ความหมายคือไม่เพียงแต่จะได้อรรถรสในการได้ยินรายละเอียดต่าง ๆ ของเพลง เช่นกระเดื่องที่เต็มลูกมากกว่า แต่ยังมีประโยชน์ในการเล่นเกมโดยเฉพาะกับเกม FPS ทั้งหลายที่ใครได้ยินเสียง Footstep ก่อนก็จะเป็นตัวแปรที่ทำให้การเล่นได้เปรียบ ซึ่งราคาของ Alienware 510H ตัวนี้อยู่ที่ 3,300 บาท ครับ

นอกจากนี้ ยังมี

  • Alienware 25 Gaming Monitor – AW2521HF หน้าจอเกมมิ่งขนาด 24.5 นิ้ว ความละเอียด 1920×1080 พร้อมพาแนลแบบ IPS ราคา 15,890
  • Alienware RGB Mechanical Gaming Keyboard AW410K มาพร้อม MX Cherry Switch สามารถเลือกสีไฟ RGB ได้เลยตามใจชอบด้วย AlienFX ผิวสัมผัสแบบด้าน ทำให้ไม่ลื่นมือ ราคา 5,190 บาท
  • Alienware 610M Wired/Wireless Gaming Mouse AW610M เม้าไร้สาย ตั้งสี RGB ผ่าน AlienFX ได้เหมือนกัน ความไวอยู่ที่ 16,000 DPI ราคา 2,910 บาท

รีวิวที่ดีต้องมีราคา

Alienware M15 Ryzen Edition R5 สนนราคาเริ่มต้นที่ 72,590 บาท ราคานี้มาพร้อม Windows 10 Home ที่จะอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ในอนาคต ได้ประกันแบบ Premium Support 2 ปี Onsite Service รวมแบตเตอรี่และอแดปเตอร์ และได้ประกันอุบัติเหตุ 1 ปี มี Microsoft Office Home & Student 2019 มาด้วย สามารถใช้งาน Microsoft Excel, Words, Powerpoint ได้ตลอดอายุการใช้งาน!

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส