หลังจากรุ่นที่แล้ว Infinix HOT 10S สร้างความประทับใจให้ต้าเพราะเป็นมือถือราคาไม่ถึง 5 พัน แต่เล่นเกมอลังการอย่าง Genshin Impact ได้! แถมยังได้รับรางวัลจากนิตยสาร BUSINESS+ ในสาขา “The Best Budget Gaming Smartphone – สมาร์ตโฟนสำหรับเล่นเกมสายประหยัดที่ดีที่สุด” ด้วยครับ

รุ่นนี้เอาอีกแล้วครับ Infinix HOT 11S รุ่นใหม่ล่าสุด ชิปเซ็ตเร็วกว่าเดิม จอใหญ่กว่าเดิม แถมราคา 5 พันต้น ๆ เท่านั้น พร้อมสโลแกนใหม่ Fast and Fun เร็วสุด สนุกเต็มสปีด

ทดสอบการเล่นเกม

เดี๋ยวต้าจะลองตั้งเป็นค่าเริ่มต้นของเครื่องนะครับ โอ้โห! ลื่นไหล กดปุ๊บ ติดปั๊บ ไม่มีดีเลย์เลยครับ ภาพที่ได้ก็โอเคเลยนะครับ ไม่ได้เป็นก้อนกลม ๆ แต่ยังมีรายละเอียดต่าง ๆ ของฉากและตัวละครอยู่ ส่วนเรื่องความร้อนนี่แค่อุ่นนิด ๆ เท่านั้นครับ

คราวนี้ต้าจะตั้งค่าสูงสุดเลยนะครับ ก็ต้องบอกว่ามีดีเลย์ และเฟรมเรตก็ค่อนข้างตก จังหวะกดก็อาจจะไม่ได้ติดมือมาก แต่! เล่นได้ครับ ถ้าอยากจะเสพความงาม เล่นไปเรื่อย ๆ ตั้งค่าสูงสุดแล้วลุยได้เลยครับ ส่วนเรื่องความร้อนแน่นอนต้องมีครับ เพราะเราเปิดสูงสุดเลย

ราคา

แต่ Infinix HOT 11S ไม่ได้มีดีแค่เรื่องเกมเท่านั้น ความมันของเขาจะมีอะไรอีกบ้าง ต้าจะพาทุกคนไปแบไต๋กัน!
อย่างที่หลายคนเริ่มจะรู้กันว่า Infinix HOT 11S เด่นมากเรื่องราคา

โดยราคาของ Infinix HOT 11S อยู่ที่ 5,299 บาทเท่านั้น ซึ่งจะเป็น Exclusive Sale บน Shopee เท่านั้น แต่ในวันที่ 5 – 10 ตุลาคมนี้ จะมีราคาพิเศษช่วงเปิดขายครั้งแรก เหลือเพียง 5,099 บาท

ยังไม่พอ ในเทศกาล 10.10 Mega Sale จะลดราคาไปอีกเหลือ 4,999 บาท

และถ้าไม่สาแก่ใจ ยังมีคูปองส่วนลด 100 บาทให้เก็บอีก ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน – 10 ตุลาคม
นั่นหมายความว่าราคาที่ดีที่สุดที่คุณจะได้คือ 4,899 บาท เท่านั้น กับ Infinix HOT 11S Fast and Fun เร็วสุด สนุกเต็มสปีด

สเปก

ตอนนี้หลาย ๆ คนก็น่าจะเห็นแล้วนะครับว่า Infinix HOT 11S ราคา 5 พันต้น ๆ สามารถเล่น Genshin Impact ได้ เขาทำได้ยังไง

ก็เป็นเพราะชิปเซ็ตของเครื่องเลยครับให้มาเป็นมา MediaTek Helio G88 Dual Chip Processor พูดง่าย ๆ ก็คือมีแกนประมวลผล 2 รูปแบบ โดยตัวแรกคือ Two Big Arm Cortex-A75 CPUs ความเร็วสูงสุด 2.0 GHz ช่วยในเรื่องการประมวลผล อีกตัวก็คือ Six Little Arm Cortex-A55 CPUs ความเร็วสูงสุด 1.8GHz ช่วยในเรื่องการประหยัดพลังงาน

โดยทั้งหมดจะทำงานสอดประสานกับ HyperEngine Gaming Technology เทคโนโลยีที่ช่วยให้การตอบสนองต่าง ๆ ภายในเครื่องรวดเร็วยิ่งขึ้น กดปุ๊บติดปั๊บ

พร้อมกับเจ้าเก่าเจ้าเดิมที่คุ้นเคย Dar-link Ultimate AI Game Booster ที่จะประเมินภาพกราฟิกของเกมล่วงหน้าเพื่อลดความล่าช้า หรือที่เรียกว่าอาการ Lag เพื่อให้เครื่องเสถียรที่สุด พูดง่าย ๆ คือเวลาเล่นเราจะไม่แลค หรือแลคน้อยลงมาก ๆ นั่นเอง

ผลการทดสอบกับโปรแกรม 3D Mark นะครับ ในโหมด Wild Life Stress Test ได้คะแนนเสถียรอยู่ที่ราว ๆ 720 คะแนน

ส่วนการทดสอบกับโปรแกรม Geekbench 5 แบบ Single-Core อยู่ที่ 372 คะแนน ส่วน Multi-Core อยู่ที่ 1346 คะแนน

ดีไซน์

มาดูกันที่ตัวเครื่องกันบ้างดีกว่าครับ Infinix HOT 11S จะมีทั้งหมด 3 สีนะครับ Polar Black, Green Wave และ 7 Degree Purple ส่วนสีที่ต้าได้มารีวิวก็จะเป็น Green Wave ครับ ก็จะมีลักษณะเป็นสีเขียวคู่ดำ สลับกันเป็นคลื่นดูมีมิติมากเลยครับ

ในส่วนของงานประกอบก็ต้องบอกว่า Infinix HOT 11S ยังคงทำได้แข็งแรงเช่นเดิม นี่ฮะ เคาะดูรู้เลยว่าแน่นปั๊ก วัสดุก็เป็นพลาสติกนะครับ ส่วนจะหนักไหม เดี๋ยวเรามาชั่งกันสด ๆ เลยครับ น้ำหนักของเครื่องนี้อยู่ที่ 201 กรัมครับ

ในส่วนของหน้าจอ ด้วยความที่ Infinix HOT 11S เป็นสมาร์ตโฟนสำหรับเล่นเกม จอก็ต้องมีขนาดใหญ่ ให้มาเป็น FHD+ ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด 1080*2460

ส่วนอัตรารีเฟรชเรต แน่นอนต้อง 90Hz เพื่อการเล่นเกมและใช้งานทั่วไปที่ลื่นไหล

เอาจริง ๆ เรื่องจอนี่ต้าประทับใจมากนะครับ เพราะในรุ่นที่แล้ว Infinix HOT 10S ต้าเคยให้ข้อสังเกตไว้ว่าจอน่าจะดันไปถึง FHD ซึ่งในรุ่นนี้ Infinix HOT 10S เลยจัดมาให้เป็น FHD+ เลย แถมราคาแทบไม่ได้แรงขึ้นเลย อันนี้ขอยกนิ้วให้จริง ๆ ครับ

กล้อง

นอกจากเรื่องเกมแล้วเรามาดูเรื่องกล้องกันบ้างดีกว่า Infinix HOT 10S ให้เรามาทั้งหมด 4 เลนส์นะครับ

  • กล้องหลัง 50 MP
  • AI Cam
  • เลนส์ชัดลึก 2 MP
  • กล้องหน้า 8 MP

ซึ่งในการถ่ายภาพเราสามารถเปิดโหมดให้ถ่ายเต็มความละเอียด 50 ล้านพิกเซลได้ แต่ถ้าถ่ายทั่ว ๆ ไป ไม่ได้เอาภาพมาซูม ใช้โหมด 12.5 ล้านพิกเซลก็พอครับ จะให้คุณภาพโดยรวมดีกว่า ส่วนกล้องหน้าจะสูงสุดที่ 8 MP ครับ

ในส่วนของ AI CAM ของ Infinix HOT 10S ไม่ได้ย่อมาจาก artificial intelligence นะครับ แต่ย่อมาจาก Auto – Identify ซึ่งจะช่วยระบุว่าภาพที่เราถ่ายนั้นเป็นภาพประเภทไหนเช่น เป็นภาพ Portrait, ภาพ Food, ภาพ Text จากนั้นกล้องก็จะมีการตั้งค่าการถ่ายให้ออกมาเหมาะสมกับภาพนั้น ซึ่งเราก็สามารถถ่ายได้ถึง 50 MP เช่นกัน

ในส่วนของโหมดอื่น ๆ ที่น่าสนใจก็มีอยู่ครบครับ ไม่ว่าจะเป็น Beauty, AR Shot, Slow Motion, Panorama, Time-Lapse, Documents

รวมไปถึง Super Night สำหรับถ่ายภาพกลางคืนซึ่งการถ่ายกลางคืนก็ถือว่าค่อนข้างโอเค เพียงแต่มือเราอาจจะต้องนิ่งหน่อย เพื่อให้ภาพออกมามีรายละเอียดสมบูรณ์ที่สุดครับ

  • (กล้องหลัง) ในส่วนของการถ่ายวิดีโอ Infinix HOT 11S จะถ่ายสูงสุดได้ที่ 2K นะครับ ทั้งกล้องหน้าแล้วก็กล้องหลังเลย
  • (กล้องหน้า) ซึ่งก็น่าเสียดายนะครับที่ไม่มีระบบกันสั่นติดมาให้ ดังนั้นถ้าไปถ่ายอะไรที่เคลื่อนไหวเยอะ ๆ ก็อาจจะต้องระวังหน่อย

แบตเตอรี่

Infinix HOT 11S ให้แบตมาจุใจในขนาด 5000 mAh ที่บอกเลยว่าอึดมาก และเช่นเดิม มี Power Marathon Mode ที่จะช่วย เพิ่มพลังงานแบตเทอรี่ให้เราราว ๆ 25% เมื่อแบตเทอรี่เหลือน้อย โดยจะทำการปิดการตั้งค่าบางอย่างเพื่อขยายเวลาแบตของเรา แต่จะยังใช้งานเครื่องได้ปกติ

หรือในภาวะวิกฤติที่แบตเหลือน้อยจริง ๆ เราสามารถเปิดโหมด Ultra Power Saving ที่จะขยายเวลาให้เราได้มาก เพียงแต่เราจะโทรเข้า โทรออก รับส่งข้อความ และดูปฏิทินได้เท่านั้น

ในส่วนของการชาร์จมี 18W Super Charge ช่วยให้ชาร์จไว จากการทดสอบชาร์จจาก 0 – 100% ใช้เวลา 90 นาที ในมือถือราคาเท่านี้ถือว่าเยี่ยมมาก ๆ เลย

มาดูกันที่รอบตัวเครื่องนะครับ

  • ระบบปฏิบัติการเป็น XOS Based on Android 11 Dolphin v.7.6.0
  • RAM 6GB ROM 128GB
  • รองรับการสแกนนิ้วด้านหลังเครื่อง
  • ปลดล็อกใบหน้า
  • ถาดใส่ซิมให้มาเป็น 3 ช่องนะครับ แบ่งเป็น SIM 2 และ SD Card 1 ครับ
  • ลำโพงคู่นะครับ ด้านบน 1 ตัว ด้านล่าง 1 ตัว
  • หูฟัง 3.5 mm
  • ช่องชาร์จ USB-C

ข้อสังเกต

เป็นอีกครั้งที่ Infinix สร้างความประทับใจให้ผม ด้วยสเปกที่จัดเต็มกว่าเดิม แถมราคาก็แทบไม่ต่างจากเดิมเลย แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ต้ายังแอบหวังนะครับว่า ถ้า Infinix สามารถทำสมาร์ตโฟนสเปกขนาดนี้ เรนจ์ราคาประมาณนี้ แต่รองรับ 5G ได้ ต้าว่าจะสร้างความฮือฮาในตลาดได้มากทีเดียวครับ

สุดท้ายขอย้ำราคากันอีกที Infinix HOT 11S ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 5,299 บาทเท่านั้น เป็นอีกครั้งที่ต้าก็ต้องบอกว่าความสามารถและราคา คุ้มค่ามากจริง ๆ ถ้าใครสนใจสามารถกดที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลย