OPPO ออกมือถือดีไซน์สวยมาอีกแล้วครับคุณผู้ชม นี่คือ OPPO Reno7 Pro 5G สมาร์ตโฟนรุ่นท็อปสุดในตระกูล OPPO Reno7 Series สมาร์ทโฟน 5G กล้องพอร์ตเทรตระดับแฟล็กชิพทั้งหน้าและหลัง ที่ถ่ายวิดีโอพอร์ตเทรตได้โปรที่สุด พร้อมฝาหลังสีสวยแบบนี้ ซึ่งวันนี้เราจะมาแบไต๋ให้ดูกัน

ดีไซน์

เริ่มกันที่ดีไซน์ตัวเครื่องที่ผมประทับใจกันก่อน ซึ่ง OPPO Reno7 Pro 5G ตัวที่ผมรีวิวนี้คือ Startrails Blue สีที่ตั้งชื่อจากเส้นแสงของดวงดาวที่ไหลผ่านฝาหลังนี้ครับ ซึ่งใช้เทคโนโลยี LDI หรือ Laser Direct Imaging สร้างลวดลายนี้ขึ้นมา ก็เป็นฝาหลังที่สวยงามแปลกตามากครับ

OPPO จริงจังกับเทคโนโลยีที่ผลิตฝาหลังใหม่นี้มากถึงขนาดส่งกระบวนการผลิตฝาหลังนี้มาให้ดูครับ แผ่น ๆ นี้คือฝาหลังของ OPPO Reno7 Pro 5G ในกระบวนการผลิตจริง ๆ นะครับ ไม่ใช่ภาพถ่าย

เริ่มต้นจากขั้นแรกคือการสร้างฝาหลังแบบพ่นทราย ด้วยเทคโนโลยี OPPO Glow ขึ้นมาก่อน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับ Reno Glow ที่เราเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ แต่รีแบรนด์เป็น OPPO Glow เพื่อเปิดตัวให้กว้างขึ้น ใช้กับมือถือของ OPPO หลายรุ่นมากขึ้นครับ

หลังจากนั้นก็ใช้เทคโนโลยี LDI ยิงเลเซอร์ไปที่ฝาหลังเพื่อสร้างลวดลายแบบ Startrails ถึง 1.2 ล้านจุด แล้วก็เคลือบผิวให้เกิดการสะท้อนแสงในขั้นตอนที่ 3 และขั้นตอนสุดท้ายคือทำสีสันให้เกิดเป็นสี Startrails Blue ที่สวยงามนี้ครับ

แต่ถ้าคุณไม่ชอบสีน้ำเงินสะท้อนแสงแบบนี้ ก็ยังมีสีดำ Starlight Black ที่เป็นผิวทราย OPPO Glow เหมือนกัน แต่จะไม่มีเส้นดาวตกให้เห็น สำหรับคนที่ต้องการความเรียบขรึมครับ

ดีไซน์ของตัวกล้อง OPPO Reno7 Pro 5G ก็แตกต่างไม่เหมือนใคร เพราะตัวแผ่นที่นูนขึ้นสีฟ้า ๆ นี้เป็นเซรามิกนะครับ ให้ผิวสัมผัสที่เรียบลื่นแตกต่างจากส่วนอื่น ๆ ของฝาหลัง แถมไปตัดกับแผ่นโลหะที่อยู่รอบ ๆ กล้องหลังอีก

แต่ลูกเล่นของกล้องหลังนี้ยังไม่หมดแค่นี้ ทีมงานครับ โทรเข้ามาเลย นี่ไง มีไฟกระพริบตรงรอบเลนส์นี้ด้วย นี่คือ Orbit Breathing Light เอกลักษณ์เฉพาะตัวของรุ่นนี้เลย โดยไฟนี้จะติดเมื่อโทรเข้า เมื่อมีโนติจากแอปที่เราเลือกไว้เด้งเข้ามา หรือเวลาเสียบชาร์จ ก็ได้ฟีลสมาร์ตโฟนล้ำ ๆ นะครับ สร้างความเจ๋งที่ไม่เหมือนใคร ส่วนถ้าใครไม่ชอบก็สามารถปิดได้จาก Settings ของเครื่องได้

กล้องหลัง

กล้องหลังของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ประกอบด้วยเลนส์ทั้งหมด 3 ตัว กล้องใหญ่ตัวบนสุดคือกล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล f/1.8 ใช้เซนเซอร์ตัวเก่ง Sony IMX766 ส่วนกล้องใหญ่ตัวล่างนี้เป็นเลนส์มุมกว้าง 0.6 เท่า 8 ล้านพิกเซล f/2.2 ส่วนวงกลมเล็กด้านบนสุดนี้ไม่ใช่กล้อง แต่เป็นเซนเซอร์วัดอุณหภูมิสี เพื่อให้ถ่ายภาพได้ตรงตามที่ตาเห็นมากที่สุด และวงกลมเล็กตัวล่างสุดคือคือเลนส์มาโคร 2 ล้านพิกเซล f/2.4 ครับ ไปดูภาพสวย ๆ จากน้องเมย์-ศิตาภากัน

OPPO บอกว่า Reno7 Pro 5G นี้เป็น The Portrait Expert ภาพถ่ายบุคคลของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ก็ออกมาสวยงามตามความตั้งใจของออปโป้ครับ การละลายฉากหลังทำได้เนียนในระดับมืออาชีพ เลือกระดับการละลายฉากหลังได้ 25 ระดับตามความต้องการเลยว่าอยากได้ฉากหลังเบลอมากหรือน้อย ผิวหน้าก็มีการเกลี่ยให้เนียน และแก้ไขจุดต่าง ๆ ของหน้าให้ออกมาดูดีมากขึ้น แต่ผู้ใช้ควรรู้ว่าในโหมด Photo ปกติ แม้ไม่ใช่โหมด Portrait เมื่อกล้องตรวจเจอใบหน้า ก็จะตกแต่งหน้าให้อัตโนมัติ ซึ่งถ้าไม่ชอบก็ต้องเข้าไปกดปิดก่อนนะครับ

นอกจากนี้ยังมีโหมด Bokeh Flare Portrait ที่ทำให้แสงไฟในฉากหลังเป็นดวงสวยงาม เหมาะมากสำหรับการถ่ายบุคคลที่มีดวงไฟ หรือจุดแสงอยู่ด้านหลัง ก็จะทำให้ภาพออกมาสวยงามขึ้น นอกจากนี้ยังมีโหมด AI Color Portrait เพื่อดูดสีออกจากฉากหลังให้เหลือแต่ตัวบุคคลที่ยังมีสีอยู่ด้วยครับ

สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียด Full HD ในโหมด Bokeh Flare Portrait ได้นะ แม้ว่าโหมดนี้จะใช้ความละเอียด 4K ไม่ได้ แต่ก็ทำให้ภาพวิดีโอออกมามีฉากหลังเบลอสวยแบบนี้ค่ะ ยิ่งถ่ายกับดวงไฟนะยิ่งสวยเลย ชอบ ๆ

ส่วนการถ่ายภาพทั่วไป AI จะทำงานร่วมกับ HDR อัตโนมัติครับ ก็ทำให้ถ่ายอะไรก็ออกมาดูดี ไม่ว่าจะถ่ายอาหาร ถ่ายทิวทัศน์ ถ่ายสัตว์ ก็ออกมาสวยน่าแชร์

ระยะซูมของ OPPO Reno7 Pro 5G นั้นจะเริ่มที่ 0.6 เท่าด้วยเลนส์มุมกว้างซึ่งก็ถ่ายเก็บรายละเอียดออกมาได้ดี มีการแก้ความบิดเบี้ยวของภาพจากเลนส์มาแล้ว ก็น่าจะเป็นกล้องมุมกว้างที่ได้ใช้บ่อย ๆ

การซูมทั้งหมดของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้จะใช้เลนส์หลัก 50 ล้านพิกเซลมาประมวลผลทั้งสิ้น ซึ่งการซูมในระดับ 2 เท่าก็ให้คุณภาพออกมาดี แต่การซูมในระดับ 5 เท่าขึ้นไปก็จะเห็นริ้วรอยการขยายภาพ และรายละเอียดของภาพที่ลดลง ซึ่งสมาร์ตโฟนรุ่นนี้สามารถซูมดิจิทัลได้สูงสุด 20 เท่าครับ

การถ่ายภาพมาโคร กล้องจะไม่ได้สลับไปใช้เลนส์มาโครเองนะครับ เมื่อเข้าใกล้วัตถุจนมีแนวโน้มว่าจะถ่ายภาพไม่ชัด จะขึ้นข้อความว่า “Move further away” เพื่อบอกให้เราถ่ายห่างอีกนิด หรือเข้าโหมดมาโครเพื่อถ่ายวัตถุในระยะใกล้ 4 cm ซึ่งคุณภาพภาพที่ได้ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่เอาใช้ไปงานได้ครับ

AI ของ OPPO Reno7 Pro 5G ไม่ได้ทำงานเฉพาะกับภาพนิ่งอย่างเดียวนะคะ เราสามารถเปิดโหมด AI Highlight Video เพื่อปรับวิดีโอแบบ Realtime ได้ด้วยแบบวิดีโอที่เมย์กำลังถ่ายให้ดูนี้ค่ะ

โดยเมื่อภาพในวิดีโอมีความเปรียบต่างหรือ Contrast มาก เช่นซีนที่เราถ่ายย้อนแสง ระบบ Live HDR ของ AI Highlight Video ก็จะทำงานเพื่อเกลี่ยแสงในภาพ ทำให้เรายังเห็นรายละเอียดของฉากหลังพร้อม ๆ กับใบหน้าแบบนี้ค่ะ

ส่วนเมื่อถ่ายในที่แสงน้อย Night Mode ก็จะทำงานเองเพื่อชดเชยแสงในวิดีโอให้สว่างขึ้น

แม้ว่าโหมด AI Highlight Video จะไม่สามารถถ่าย Full HD 60 fps หรือถ่าย 4K ถ่ายได้แค่ Full HD 30 fps เท่านั้น แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปแล้วค่ะ

ส่วนวิดีโอแบบ 4K 30 fps จาก OPPO ก็ถ่ายได้สวยงามแบบนี้ค่ะ แต่โหมด 4K จะไม่สามารถถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้างถ่ายได้นะคะ เราต้องใช้โหมด Full HD 1080p 30 fps ถึงจะได้วิดีโอด้วยเลนส์มุมกว้างได้ แต่ระหว่างถ่ายก็ไม่สามารถสลับเลนส์ได้ ต้องหยุดถ่าย เปลี่ยนเลนส์ แล้วค่อยถ่ายใหม่นะ

กล้องหน้า

มาดูกล้องหน้ากันต่อครับ อยู่ตรงมุมบนซ้ายของหน้าจอนี้ ซึ่งก็จัดสเปกมาเต็ม คือกล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล f/2.4 โดยใช้เซนเซอร์เกรดดี Sony IMX709 ที่สามารถรับภาพได้สว่างขึ้นด้วย คือใช้เซนเซอร์ Sony ทั้งกล้องหน้ากล้องหลังกันเลย

ภาพจากกล้องหน้าของ OPPO Reno7 Pro 5G นั้นออกมาดูดีเลยครับ คือถ่าย Selfie ได้สวยสดใสมาก สีผิวดูดี ซึ่งเป็นครั้งแรกของสมาร์ตโฟนที่มีการใช้เทคโนโลยี DOL-HDR เพื่อเกลี่ยแสงให้ดูดีเสมอ แม้จะเป็นสภาพแสงยาก ๆ อย่างการถ่ายย้อนแสง โหมด Portrait ก็ละลายฉากหลังได้ดูดี

นอกจากนี้ยังสามารถใช้โหมด Bokeh Flare Portrait เพื่อทำให้โบเก้ดวงไฟขึ้นเป็นวงสวย หรือใช้โหมด AI Color Portrait เพื่อเก็บสีเฉพาะนางแบบก็ได้ นอกจากนี้เมื่อถ่าย Group Selfies กล้องก็สามารถขยายมุมภาพได้อีกนิดหน่อย เพื่อให้เก็บเพื่อน ๆ ของเราในเฟรมได้หมดด้วย

กล้องหน้าของ OPPO Reno7 Pro 5G นั้นสามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียด Full HD แบบนี้นะคะ ซึ่งกล้องก็จะมีการแต่งหน้าให้สวยงามเรียบร้อยแล้วด้วย เป็นไงคะวิดีโอของเมย์ออกมาสวยไหม

ซึ่งการถ่าย Video Selfie ก็ยังสามารถเปิดโหมด Bokeh Flare Portrait เพื่อทำฉากหลังให้ละลายเป็นดวงไฟสวยแบบนี้

หรือโหมด AI Color Portrait จะดูดสีฉากหลังให้กลายเป็นขาว-ดำแบบนี้ ก็ได้ แต่โหมดนี้จะเหลือความละเอียดวิดีโอ 720p หรือถ้ามีการใช้โหมดแต่งหน้าพร้อมกับโหมด Bokeh ก็จะเหลือความละเอียด 720p เช่นเดียวกัน

จบเรื่องกล้องแล้ว มาต่อกันที่ดีไซน์ของ OPPO Reno7 Pro 5G นะครับ นั้นเป็นเครื่องขอบตัดตามสมัยนิยมนะครับ ก็ทำให้การหยิบจับเครื่องทำได้สะดวกดี เครื่องหนาแค่ 7.45 มม. และหนักแค่ 180 กรัมเท่านั้น จับถือแล้วไม่รู้สึกว่าหนักจนเป็นภาระ ที่สำคัญเลย มันทำให้รู้สึกว่าหน้าจอปูเต็มพื้นที่ด้านหน้าเครื่องยิ่งกว่าเดิม พอดูเครื่องจากด้านหน้าจะเห็นว่าขอบจอบางมาก เพราะไม่มีส่วนใด ๆ ของเครื่องยื่นออกไปจากหน้าจอเหมือนสมาร์ตโฟนที่เป็นขอบมน จนทำให้ดูว่าเครื่องมีขอบจอที่หนากว่าความจริงครับ

พอเรารู้สึกว่าหน้าจอของ OPPO Reno7 Pro 5G นั้นมีขอบที่บางมาก ก็ทำให้ประสบการณ์การใช้งานเต็มตากว่าเดิม โดยสเปกของจอเป็นแบบ AMOLED ขนาด 6.5 นิ้ว พร้อม Refresh Rate ที่ 90 Hz ทำให้การใช้งานลื่นไหล นุ่มนวลตา มีสแกนนิ้วในหน้าจอ และเป็นจอเรียบไม่มีขอบโค้งใด ๆ ด้วย ซึ่งก็เป็นดีไซน์พรีเมี่ยมที่เหมาะสำหรับเครื่องขอบตัดแบบนี้

โดยจอนี้ก็รองรับ HDR ของ Youtube ได้เป็นอย่างดีครับ ส่วน Netflix รองรับการเล่นวิดีโอในระดับ Full HD แต่ไม่รองรับ HDR ครับ

ท้ายเครื่องก็จะมีพอร์ต USB-C พอร์ตเดียวสำหรับเชื่อมต่อข้อมูล ต่อหูฟังแบบ USB-C หรือหัวแปลง USB-C เป็นช่องหูฟัง 3.5 mm นะครับ เพราะเครื่องไม่มีช่องต่อหูฟังมาให้ และเครื่องนี้รองรับ 65W SuperVOOC ชาร์จแค่ 31 นาทีก็เต็ม 100% แล้ว ซึ่งจากการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ก็ใช้งานได้แบบจบวันได้ทุกวันครับ เริ่มถอดสายชาร์จช่วง 9 โมงเช้า จนกลับมาเสียบชาร์จอีกครั้งราว ๆ 4 ทุ่ม ก็เหลือแบตเตอรี่ราว 20-30% ก็ไม่ใช่สมาร์ตโฟนที่แบตอึดระดับใช้ข้ามวันนะครับ

แต่พอร์ต USB-C นี้ไม่รองรับการแปลงเป็น HDMI เพื่อส่งภาพออกหน้าจอนะครับ ส่วนลำโพงเป็นแบบสเตอริโอ เสียงออกทั้งบน-ล่าง ซึ่งก็ให้มิติเสียงได้ดีเลย เอาไปดูหนัง-ซีรีส์ได้สนุกเลย แล้วก็ให้เสียงดังในระดับที่ใช้ได้

สเปก

OPPO Reno7 Pro 5G ใช้ชิปตัวใหม่คือ MediaTek Dimensity 1200-Max 5G พร้อมแรม 12 GB ที่สามารถขยายเพิ่มด้วยความสามารถ RAM Expansion สูงสุดอีก 7 GB พร้อมหน่วยความจำในเครื่องอีก 256 GB

ซึ่งผลการทดสอบประสิทธิภาพด้วย Geekbench 5 ก็ทำออกมาได้ดี ได้คะแนน Multicore ไป 2964 คะแนน ซึ่งพอ ๆ กับ Snapdragon 870 ที่ใช้ใน Reno 6 Pro เดิม ส่วนการทดสอบ 3Dmark ชุด Wild Life Stress Test ก็ทำคะแนนออกมาได้ราว ๆ 4,200 คะแนนตลอด 20 รอบการทดสอบซึ่งกินเวลา 20 นาที ก็เป็นผลคะแนนที่ใกล้เคียงกับ Reno 6 Pro เดิม ซึ่งก็เป็นประสิทธิภาพที่ใช้เล่นเกมต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ ได้โดยที่เฟรมเรตไม่ดรอปครับ ถือว่าทำได้ดีเลย

ส่วนการทดสอบกับเกม Genshin Impact ก็สามารถเปิดภาพระดับสูงสุดที่ 60 fps ซึ่งการเล่นที่คุณภาพระดับนี้จะได้ Frame Rate ราวๆ 40 fps และเครื่องจะร้อนอย่างเห็นได้ชัดบริเวณขอบเครื่อง แต่ถือว่าเล่นได้ลื่นไหลดี
OPPO Reno7 Pro 5G ใช้ ColorOS12 ตัวล่าสุดของ OPPO นะครับ ซึ่งทำงานบนพื้นฐานของ Android 11 ซึ่งมีความสามารถใหม่หลายอย่าง ที่น่าสนใจคือ Omoji อวาตาร์ 3 มิติที่เราออกแบบขึ้นมาแทนตัวเราได้ ซึ่งเอาไปใช้เป็นหน้าล็อกสกรีนหรือใช้งานอื่น ๆ ได้หลากหลาย

อีกความสามารถที่น่าสนใจคือ PC Connect ครับ คือเอาหน้าจอสมาร์ตโฟนไปขึ้นบน PC แล้วใช้เมาส์กับคีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานได้เลย จะก็อปโอนข้อมูลไปมาระหว่างคอมกับสมาร์ตโฟนก็ได้ทันที แต่ความสามารถนี้ใช้ได้เฉพาะ Windows เท่านั้นนะครับ เครื่องแมคไม่เกี่ยว โดยต้องโหลดโปรแกรม PC Connect จาก
Connect.oppo.com มาลงในเครื่องให้เรียบร้อยก่อน แล้วก็เชื่อมต่อเพื่อใช้งานได้เลยครับ

ข้อสังเกต

ส่วนจุดสังเกตของ OPPO Reno7 Pro 5G เราว่าอยู่ที่ความสามารถบางอย่างของกล้องหายไปเมื่อเทียบกับ Reno6 Pro 5G เดิมครับ เช่นไม่มีเลนส์ซูมโดยเฉพาะ เนื่องจากรุ่นนี้เน้นฟีเจอร์ถ่ายภาพบุคคลได้ดีขึ้น ในราคาเท่าเดิม

นอกจากนี้ยังไม่มีระบบชาร์จไร้สายครับ แต่ก็เสียบชาร์จแบบด่วนได้แทนนะ

ราคา

OPPO Reno7 Pro 5G เปิดตัวในไทยด้วยราคา 22,990 บาท โดยถ้าจองตั้งแต่ช่วง Pre-Order คือจองก่อน 18 ก.พ. 2022 จะได้รับของสมนาคุณอย่างหูฟัง OPPO Enco Air 2 และ E-VIP Card มูลค่ารวมกว่า 10,499 บาท