มือถือรุ่นนี้มีรายละเอียดในงานออกแบบหลายอย่างที่น่าสนใจครับ เป็นสมาร์ตโฟนไม่กี่รุ่นที่จับแล้วให้สัมผัสที่ดีน่าใช้แบบนี้ กล้องหลัง 50 ล้านพิกเซล 3 ตัวก็ดีสมเป็นเรือธง วันนี้แพนมาแบไต๋ให้ฟังกันกับ Xiaomi 12 Pro

ดีไซน์

เริ่มที่งานออกแบบที่แพนรู้สึกว่าทีมออกแบบใส่ใจรายละเอียดจนได้มือถือที่ใช้แล้วสนุกมือจริงๆ เริ่มตั้งแต่สัมผัสในการจับถือที่ขอบจอด้านหน้า และฝาหลังมีการโค้งแบบ 3 มิติรับกัน ซึ่งให้ความรู้สึกในการจับถือที่นุ่มนวล ต่างจากมือถือในยุคนี้ที่เป็นดีไซน์แบบขอบตัดกันไปหมดแล้ว

นอกจากนี้สัมผัสของฝาหลังที่เป็นกระจก ก็ทำเป็นผิวพ่นทรายละเอียดไว้ก็ให้สัมผัสที่นุ่มนวลไปด้วย ลายนิ้วมือก็ไม่ค่อยติด ซึ่งสีที่แพนได้มารีวิวนี้คือสีเทาขรึม ๆ เท่ ๆ แล้วก็ยังมีอีก 2 สีให้เลือกคือม่วงและน้ำเงินให้เลือกตามชอบ

สัมผัสที่ไม่ธรรมดาของ Xiaomi 12 Pro อยู่ที่ระบบการสั่นที่ให้รายละเอียดดีมาก เช่นเวลาสแกนนิ้วปลดล็อกที่หน้าจอ เครื่องจะสั่นด้วยความถี่ที่รู้สึกเหมือนกำลังไขกุญแจอยู่ หรือเวลาพิมพ์คีย์บอร์ดเครื่องก็จะสั่นกระชับ ให้สัมผัสสนุกเวลาพิมพ์ กดล็อกเครื่องก็สั่น หรือจังหวะเลื่อนเมนูไปจนสุด เครื่องก็สั่นแบบนิดเดียวจริง ๆ ให้ความรู้สึกเลื่อนเมนูไปชนอะไรสักอย่างเบา ๆ ครับ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากมอเตอร์ระบบสั่นชั้นดีแบบ Linear กับการออกแบบซอฟต์แวร์ที่ละเอียดจนถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ ถ้าเห็นเครื่องจริง อย่าลืมไปจับเล่นระบบสั่นดูนะครับ

งานออกแบบของ Xiaomi 12 Pro ยังลงดีเทลไปจนถึงด้านบนและด้านล่างของเครื่องนะครับ เฟรมเครื่องโลหะนี้มีดีไซน์โค้งกำลังสวย ซึ่งด้านบนเครื่องจะเห็นว่าโลโก้เขียนว่า Sound by Harman/Kardon แบรนด์เครื่องเสียงชื่อดังของโลกชัดเจน พร้อมช่องลำโพงดีไซน์พิเศษเหมือนเป็นคลื่นเสียงก็ทำให้ดูดีมีรายละเอียดเข้าไปอีก

ซึ่งเสียงจากลำโพง 4 ตัวของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ก็ดีอย่างที่คาดหวังไว้ ลำโพงด้านบนและล่างให้เสียงสเตอริโอที่มีมิติ โปร่งกว้าง พร้อมกับเบสที่เยอะกว่าสมาร์ตโฟนทั่วไป

นอกจากนี้ด้านบนยังมีช่อง infrared ทำหน้าที่เป็นรีโมตสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านแอป Mi Remote ได้ด้วย
ส่วนด้านล่างมีถาดใส่ซิมที่สามารถใส่ได้ 2 ซิม Stand-by 5G ได้พร้อมกัน แต่เลือกใช้ข้อมูลได้ทีละถาด และไม่สามารถใส่ MicroSD ได้ แน่นอนว่าเป็นสมาร์ตโฟนเรือธงแล้วจึงไม่มีช่องหูฟัง 3.5 mm และไม่ได้แถมหูฟังด้วย

ส่วนพอร์ตชาร์จเป็น USB-C รองรับ 120W Xiaomi HyperCharge ชาร์จเร็วมาก โหมดปกติชาร์จแบต 4600 mAh จาก 0% ที่เปิดเครื่องไม่ติดเลย แค่ 30 นาทีก็ได้ 83% แล้ว แล้วเต็มร้อยราว ๆ 36 นาทีเท่านั้น ส่วนโหมดบูสต์ใช้ไฟเต็มที่ 19 นาทีชาร์จได้ 80% และชาร์จเต็มร้อยใน 27 นาทีเท่านั้น แล้วยังรองรับการชาร์จไร้สายแบบ 50W turbo charging ด้วย แม้จะชาร์จไร้สายก็เร็วเช่นกัน

ส่วนระยะเวลาใช้ระหว่างวัน ก็ถ้าใช้งานทั่วไป คือใช้เน็ต เล่นโซเซียล ไม่ได้เล่นเกม ก็ใช้จบวันได้ครับ แต่ถ้าใช้งานหนักกว่านี้ อาจต้องชาร์จระหว่างวันบ้างครับ

กล้องหลัง

ดีไซน์ของกล้องหลัง Xiaomi 12 Pro นั้นจัดลักษณะการวางเลนส์และฐานรองเลนส์ที่แตกต่างจากสมาร์ตโฟนรุ่นอื่นๆ นะครับ มีการแบ่งพื้นที่ของแต่ละเลนส์ด้วยเส้นกริด และกล้องหลักก็มีการเน้นให้ดูโดดเด่นออกมา ซึ่งเมื่อรวมกับดีไซน์ฝาหลังเรียบ ๆ ก็ทำให้ดูสง่าขึ้นมาเลย

โดยเลนส์ทั้ง 3 นี้มีความละเอียด 50 ล้านพิกเซลเท่ากันหมด ซึ่งเวลาใช้จริงจะมีการรวบพิกเซลจาก 50 ล้านพิกเซลเป็น 12.5 ล้านพิกเซล โดยตัวบนสุดคือเลนส์หลัก ถัดมาคือซูม 2 เท่า ซึ่ง 2 เลนส์นี้มี f/1.9 เท่ากัน และล่างสุดคือเลนส์มุมกว้าง 0.6 เท่า f/2.2 ครับ

กล้องของ Xiaomi 12 Pro นั้นไม่เสียชื่อกล้องจากมือถือเรือธงครับ แค่ใช้โหมด Photo ที่เปิด HDR กับ AI ให้ช่วยปรับแต่งภาพ ก็ให้โทนภาพและโทนสีของภาพออกมาดีเลย เอาไปถ่ายดอกไม้ ถ่ายต้นไม้ อาหาร ถ่ายสิ่งของสีสันสดใสก็ออกมาสวยทันที

ช่วงซูมของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้เริ่มที่ 0.6 เท่า ซึ่งก็ให้มุมภาพกว้างขวาง แถมกล้องมีการแก้ความบิดโค้งของเส้นสายมาให้เรียบร้อย แต่ตรงช่วงขอบภาพก็จะยังมีความยืดของภาพที่เป็นลักษณะเฉพาะของเลนส์มุมกว้างให้เห็นอยู่

ซึ่งการซูมแบบเลนส์ของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้สูงสุดที่ 2 เท่า ซึ่งคุณภาพภาพทำออกมาได้ดีอยู่แล้ว และช่วงซูมนี้ก็ยังเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับการถ่าย Portait แบบครึ่งตัวด้วย ได้ระยะถ่ายกำลังดี ไม่ต้องถอยจากตัวแบบไปไกล แต่ถ้าซูมในระยะมากกว่านี้ เช่นซูม 5 เท่าขึ้นไป ก็จะเห็นว่าภาพไม่ได้คมเท่าการซูมด้วยเลนส์จริง ๆ ครับ

สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ไม่มีเลนส์มาโครโดยเฉพาะ และไม่สามารถใช้เลนส์มุมกว้างมากเพื่อแทนเลนส์มาโครได้นะครับ เพราะฉะนั้นเวลาถ่ายวัตถุใกล้ ๆ ก็ต้องดูความชัดให้ดี ว่าวัตถุยังอยู่ในโฟกัสหรือไม่ครับ

การถ่ายภาพบุคคล ก็ถือว่าตัดขอบได้เนียนตาดีเลย ผมลองถ่าย Portrait เทียบกับ iPhone 13 Pro ที่ถือเป็นกล้องตัวท็อปของฝั่งแอปเปิ้ลให้ดูกันว่าภาพแตกต่างกันยังไง ทั้งการถ่ายด้วยเลนส์หลัก และการถ่ายแบบครึ่งตัวนะครับ ภาพของ Xiaomi 12 Pro ก็ไม่เป็นรองเลย

กล้องของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้มีระบบ Xiaomi ProFocus ด้วยครับ แค่เข้าไปเปิดโหมด Motion Tracking Focus และ Eye Tracking Focus ใน Settings ของแอปกล้อง ที่นี้กล้องก็จะสามารถจับโฟกัสดวงตาได้อย่างแม่นยำ และสามารถแตะ 2 ครั้งที่ตัวแบบในภาพเพื่อให้แทร็กการเคลื่อนที่ และโฟกัสได้ เหมาะสำหรับการถ่ายสัตว์เลี้ยงหรือเด็กๆ ให้มีความคมชัดมากขึ้นครับ

นอกจากนี้เรายังสามารถเลือกเซฟภาพเป็นรูปแบบ HEIF ที่กินพื้นที่น้อยลงได้ด้วย ส่วนวิดีโอก็เซฟเป็น H.265 เพื่อได้ไฟล์เล็กลงได้เช่นกัน

ส่วนการถ่ายภาพในที่แสงน้อยก็ทำได้เยี่ยมทั้ง 3 เลนส์ ต่างจากสมาร์ตโฟนทั่วไปที่จะมีแต่เลนส์หลักเท่านั้นที่ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดี ก็ให้ผลงานออกมาได้ดี ให้สีสัน ให้ความคมชัดได้ใกล้เคียงกับภาพถ่ายในช่วงกลางวัน ถ่ายอาหารในที่แสงน้อยก็ยังสวย โดยทำผลงานได้ดีตั้งแต่โหมด Photo ธรรมดา คือแสงต้องน้อยมากจริง ๆ เราถึงจะต้องพึ่ง Night Mode ครับ

กล้องหลังของ Xiaomi 12 Pro ในโหมด 4K 60 fps โดยสมาร์ตโฟนรุ่นนี้สามารถถ่ายคลิปได้สูงสุดที่ 8K 24 fps เลย ผมลองเดินให้ดูความสามารถในการป้องกันการสั่นไหวนะครับ โดยถ้าใช้ความละเอียด 1080p 30 fps จะสามารถเลือกระดับป้องกันภาพสั่นไหวได้มากกว่านี้ และที่ความละเอียด 1080p ยังสามารถซูมสลับ 3 เลนส์ไปมาได้ด้วย

โดยวิดีโอของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้สามารถเลือกบันทึกในฟอร์แมท HDR ได้ทั้งแบบ HLG หรือ HDR10+ แล้วแต่ว่า Workflow การทำงานเราจะเป็นแบบไหนครับ

และวิดีโอในที่แสงน้อยก็สามารถใช้ Night Mode ถ่ายได้ด้วย แต่จะได้ความละเอียดแค่ 1080p เท่านั้นครับ
โหมดวิดีโอที่สนุกมากของ Xiaomi 12 Pro คือ Movie Effect ครับ ที่ AI จะช่วยให้ถ่ายวิดีโอคลิปสั้น ที่แปลกตาออกมาได้มากมายเช่น

  • Magic Zoom ที่ฉากหลังจะถูกดึงเข้ามาระหว่างถ่าย
  • Time Freeze ที่หยุดบางส่วนของวิดีโอไว้ในขณะที่ตัวแบบยังเคลื่อนไหว

กล้องหน้า

มาดูกล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซลตัวนี้กันครับกล้องหน้าตัวนี้สามารถถ่าย Selfie ให้สีผิวได้ดีเลย ส่วนการถ่าย Portrait ก็สามารถเบลอฉากหลังได้เนียนเป็นธรรมชาติ

ส่วนวิดีโอจากกล้องหน้ารุ่นนี้ทำได้ระดับ 1080p 60 fps ซึ่งผลก็ออกมาตามนี้เห็นนี้ ถ่ายได้สวยงาม นุ่มนวลเลย
ส่วนใครที่สงสัยว่าสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ถ่าย Stories เป็นยังไงบ้าง ผมลองถ่ายให้ดูกัน ก็ออกมาได้แบบนี้ครับ
จบเรื่องกล้องแล้ว มาต่อหน้าจอของ Xiaomi 12 Pro ที่ไม่ธรรมดาครับ ว่ากันด้วยสเปกคือเป็นจอ AMOLED ขนาด 6.73 นิ้ว ความละเอียด 1440p สูงกว่า Full HD+ ที่ใช้กันทั่วไป มี Refresh Rate แบบ Adaptive สูงสุด 120 Hz แสดงภาพเคลื่อนไหวได้นุ่มนวล รองรับทั้ง Dolby Vision และ HDR10+ มี Peak Brightness ที่ 1500 nit

หน้าจอ

หน้าจอนี้เหมาะมากสำหรับการเล่นวิดีโอครับ อย่าง Youtube ก็แสดงวิดีโอได้ระดับ HDR ชัดเจน ส่วน Netflix ก็แสดงภาพได้ถึงระดับ Dolby Vision ที่ความละเอียด Full HD ซึ่งก็ให้ภาพได้น่าประทับใจเลย

นอกจากนี้เรายังสามารถเปิด Video Toolbox ขึ้นมาด้านข้างแบบนี้ เพื่อปรับลักษณะภาพให้ถูกใจได้อีกหลายอย่าง เช่นแทรกเฟรมภาพเพิ่มหรือ MEMC เพื่อให้วิดีโอเคลื่อนไหวนุ่มนวลขึ้น หรือ Upscale ภาพ ทำให้วิดีโอความละเอียดต่ำดูคมชัดขึ้น หรือปรับแต่งสีได้อีกหลายแบบเลยครับ ซึ่งเราลองแล้ว ใช้ปรับแต่งวิดีโอ Youtube และ Netflix ก็ได้

สเปก

เนื่องจาก Xiaomi 12 Pro นั้นเป็นสมาร์ตโฟนระดับเรือธง สเปกจึงจัดเต็มด้วย Snapdragon 8 Gen 1 ตัวแรงของปี 2022 พร้อมแรม LPDDR5 จำนวน 8 GB ที่เพิ่มไปอีก 3 GB ด้วย Memory Extension รวมเป็น 11 GB ส่วนความจุในเครื่องอยู่ที่ 256 GB ครับ

ซึ่งผลทดสอบประสิทธิภาพด้วย Geekbench 5 นั้นทำคะแนน Multicore ไปได้ที่ 3704 คะแนน ก็เป็นคะแนนกลุ่มท็อปของโลก Android ในตอนนี้

ส่วนการทดสอบด้วย 3Dmark ชุด Wildlife Stress test นั้นน่าสนใจ เพราะสามารถทำคะแนนได้สูงกว่า 7000 คะแนนแบบนิ่ง ๆ คะแนนไม่ได้เหวี่ยงไปมาแบบสมาร์ตโฟนตัวท็อปอื่นๆ เพราะมีระบบระบายความร้อน vapor chamber ขนาดใหญ่ทำงานร่วมกับแผ่นกราไฟท์ระบายความร้อนอีก 3 แผ่น ทำให้ CPU รีดประสิทธิภาพสูงสุดออกมาได้ยาวนาน โดยที่ความเร็วไม่ตกลง

แต่ถ้าวัดอุณหภูมิด้านหลังเครื่องหลังการทดสอบ จะพบว่าความร้อนของเครื่องสูงขึ้นพอสมควร โดยเราทดสอบ Stress Test ทั้งหมด 3 ครั้ง มี 2 ครั้งที่ทดสอบไม่ผ่านเพราะแอปหยุดทำงานในรอบทดสอบหลังๆ จากการทดสอบต่อเนื่อง 20 รอบ 20 นาทีเพราะความร้อนสูงเกินไป

เราจึงทดสอบต่อกับเกม Genshin Impact ที่ปรับคุณภาพสูงสุดและใช้ 60 fps ก็พบว่าสามารถเล่นได้ลื่นไหล เฟรมเรตจะร่วงลงมาในช่วงการต่อสู้บ้าง ซึ่งเราทดสอบเล่นต่อเนื่องยาวนาน 45 นาที ยังไม่พบปัญหาแอปหยุดทำงานเพราะอุณหภูมิเหมือนกับ 3Dmark ครับ

จุดสังเกต

ส่วนจุดสังเกตของเรานั้นอยู่ที่พอร์ต USB-C นี้ไม่สามารถต่อภาพขึ้นจอผ่านอแดปเตอร์เป็น HDMI ได้นะครับ ต้องส่งสัญญาณภาพแบบไร้สายเท่านั้น และปุ่มล็อกจอนี้ให้ความรู้สึกโยกเยกไปนิด คือ Xiaomi 12 Pro ออกแบบมาเนี๊ยบทุกจุด แต่ถ้าทำปุ่มล็อกจอนี้ให้แน่นได้อีกหน่อย จะสมบูรณ์แบบครับ

ราคา

Xiaomi 12 Pro พร้อมแรม 8 GB ความจุ 256 GB นี้เปิดตัวในไทยด้วยราคา 31,990 บาท มาพร้อมของแถมและโปรโมชั่นดี ๆ มากมาย ที่บอกได้เลยว่าต้องจัดครับ